ในเวลาที่คนหลายกลุ่มในสังคมไทยเรียกร้องประชาธิปไตยและเชิดชูสิทธิเสรีภาพทางการเมือง จนถึงกับยอมแลกได้ด้วยชีวิต ก็มีเสียงสนับสนุนการเซ็นเซ่อร์หรือแบนสื่อประเภทต่าง ๆ เช่นภาพยนต์หรือละครไปด้วยพร้อมกัน
เสียงเรียกร้องให้รัฐแบนหรือจำกัดการนำเสนอสื่อ (แม้ในเวลาที่มีระบบการจัดเรทติ้งประเทภและระดับอายุของสื่อแล้วก็ตาม) เป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องไม่เปลี่ยนไม่ว่าประชาธิปไตยจะเปลี่ยนรูปปรับร่างไปอย่างไรก็ตาม คนหลายกลุ่มไม่ลังเลที่จะเรียกร้องให้รัฐจัดการกับละครทีวีที่ล้ำเส้นเรื่องเพศที่เหมาะสมอย่าง “ดอกส้มสีทอง” และวางเฉยกับการแบนหนังอย่าง “Insects in the Backyard” เพราะเกรงภัยอันตรายของสื่อประเภทนี้ต่อระเบียบอันดีงามของสังคม
การควบคุมกำกับสื่อในลักษณะนี้อาจจะดูไม่เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกับการกำกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะการวิพากษ์สถาบันหรือวิจารณ์รัฐบาล เรามองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเสรีภาพในการนำเสนอเรื่องเพศผ่านสื่อกับความเป็นประชาธิปไตยทางการเมือง เราไม่เข้าใจว่าการเรียกร้องหรือคาดหวังให้รัฐเซ็นเซ่อร์สะท้อนฐานคิดที่ไม่เอื้อต่อระบบการเมืองและสังคมที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ อย่างที่เป็นรูปแบบอุดมคติของหลาย ๆ คน?
การอภิปรายของข้าพเจ้าในการเสวนา “Insects in the Backyard: แหกกรงความคิด เพื่อสิทธิมนุษยชน” ชวนคิดถึง 3 ประเด็น – เพศในสื่อ เสรีภาพกับเพศวิถี และเสรีภาพเรื่องเพศวิถีกับเสรีภาพทางการเมือง/ประชาธิปไตย
เพศวิถีในสื่อ
เรื่องเพศในสื่อเป็นเรื่องแปลกประหลาดหรือไม่? หรือแท้ที่จริงเรื่องเพศถูกนำเสนอในสื่อหลากหลายประเภทหรือเป็นส่วนสำคัญของเนื้อหา/ “สาร” ของสื่อกระแสหลัก/กระแสรองอยู่แล้ว คำถามที่น่าคิดกว่าคือทำไมเราจึงชอบบางเรื่อง ไม่ชอบบางเรื่อง บางเรื่องได้รับการสนับสนุน บางเรื่องโดนแบน ทำไมเราชอบ “วนิดา” แต่ไม่ชอบ “ดอกส้มสีทอง” ฯลฯ
สื่อประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อเพื่อความบันเทิงทั้งหลาย นำเสนอเรื่องเพศ/เพศวิถีใน 2 ลักษณะหลัก ๆ คือ แบบแรกเป็นการสะท้อนและผลิตซ้ำความเชื่อ ค่านิยม วิถีปฏิบัติแบบเพศวิถีกระแสหลัก ได้แก่การแบ่งคนออกเป็น 2 เพศสภาพอย่างเคร่งครัด คือเป็นเพียงผู้หญิงหรือผู้ชายอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยความรัก ความสัมพันธ์และเซ็กส์ที่ถูกต้อง/เป็นที่ “ธรรมชาติ” หรือเป็นที่ยอมรับต้องเกิดขึ้นระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้น เซ็กส์ที่เหมาะสมต้องเกิดในการแต่งงานแบบผัวเดียว-เมียเดียว และต้องมีความรักเป็นองค์ประกอบหลัก
อันที่จริงแง่มุมต่าง ๆ ของความรักแบบโรแมนติค/เซ็กส์/ความสัมพันธ์ “ระหว่างชายหญิงเป็นโครงเรื่องหรือ Plot หลักของนิยาย เพลง ละคร ภาพยนต์หลายเรื่องมากมาย เราขบขัน ซาบซึ้งและร้องไห้ไปกับเรื่องราวที่สะท้อนแง่มุมคลุมเครือ อึดอัด และบีบบังคับของความรักและเซ็กส์ในสื่อประเภทต่าง ๆ
แม้จะสะท้อนและตอกย้ำรูปแบบเรื่องเพศตามกรอบกติกากระแสหลัก สื่อก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เสนอเรื่องเพศมากเกินไป ให้คนเห็นเนื้อหนังร่างกายหรือการร่วมเพศชัดเจนแจ่มชัดหรือมากมายนักไม่ได้ เพราะอิทธิพลของการมองเรื่องเซ็กส์ในทางลบ เห็นเซ็กส์เป็นเรื่องสกปรก เกรงว่าการได้เห็นได้รู้จากสื่อมาก ๆ จะทำให้หมกมุ่นเกินไป การมัวเมาในเรื่องเพศจะทำให้เกิดความเสื่อมของเหตุผลหรือระเบียบของสังคม ต้องกำกับควบคุมเข้มงวดไม่ให้หลุดออกนอนกรอบของการขังเซ็กส์ไว้ในการแต่งงานแบบผัวเดียว-เมียเดียวเท่านั้น
สื่อบางประเภทนำเสนอรสนิยม วิถีปฏิบัติและชีวิตทางเพศที่ต่างไปจากกระแสหลัก ตั้งแต่ความรัก/เซ็กส์ระหว่างคนเพศสภาพเดียวกัน เซ็กส์นอกสมรสรูปแบบต่าง ๆ การซื้อขายบริการทางเพศ เซ็กส์กับสัตว์-ศพ-เด็ก ฯลฯ รูปแบบเหล่านี้เป็นอะไรที่หลายคนทำ/เลือกทำ ในช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิต แต่เราอาจไม่รู้หรือไม่เห็นเพราะเขาไม่ทำให้เห็นหรือไม่บอกให้รู้)
สื่อที่นำเสนอรูปแบบเรื่องเพศต่างไปจากกรอบหลักถูกมองเป็นปัญหา แต่จะเป็นปัญหามากน้อยและโดนลงโทษหนักหนาแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าเรื่องเพศที่นำเสอนออกนอกกรอบไปไกลเท่าไร ยิ่งไกลมาก ชัดมาก แรงมาก ก็จะเจออาการรับไม่ได้หนัก ๆ โดนอัดแรง ลงโทษแรง ๆ อย่างที่ Insects in the Backyard โดน
คนที่มีโอกาสได้ดูหนัง Insects in the Backyard อาจจะรู้สึกคล้าย ๆ กันว่า หนังเรื่องนี้ออกจะ “เยอะ” นำเสนอประเด็นเพศวิถีหลายเรื่องมาก แค่ 10 นาทีแรกของหนังก็ได้เห็นประเด็นการข้ามเพศ จิตนาการทางเพศ (Rape Fantasy) เพศของวัยรุ่น การ “กิน” หรือการใช้อาหารเพื่อจัดการกับความเครียด/ความทุกข์ การจูบในที่สาธารณะ เซ็กส์แบบชายกับชาย การเอากันหลากหลายรูปแบบ
Insects in the Backyard ทำให้นึกถึง “จัน ดารา” ทั้งที่เป็นนิยายและเป็นภาพยนต์ ในฐานะนิยาย “จัน ดารา” นำเสนอ “ความมากเกินไปของเรื่องเพศ” ที่ทำให้ “ฝ่อ” มากกว่า “หื่น คือมากล้นเหลือจนไม่กระตุ้นเร้า เมื่อเป็นภาพยนต์ก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกว้างขวาง โดยกรรมการเซ็นเซอร์หนังที่เป็นสุภาพสตรีท่านหนึ่งบอกว่า ดูหนังแล้วทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศในขณะที่หลายคนยืนยันว่าดูแล้วยังไง ๆ ก็ไม่เร้าความอยาก ทำให้เห็นความต่างของการกระตุ้นเร้าทางเพศในแต่ละคนอยู่ไม่ใช่น้อย
อะไรที่ทำให้บางคนเกิดความต้องการทางเพศ อาจไม่มีผลแบบเดียวกันกับคนอื่นก็เป็นได้ เพราะรสนิยมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนเห็นชายจูบชายแล้วแหวะ บางคนเห็นแล้วซาบซ่าน ฯลฯ
เหตุผลหลัก ๆ ของการห้าม จำกัด หรือกำจัดการนำเสนอเรื่องเพศผ่านสื่อ คือความเชื่อมสื่อเรื่องเพศกับการกระตุ้นเร้าทางเพศ และความกลัวการเลียนแบบการกระทำทางเพศที่เห็นในสื่อ
Sexual arousal - -> Sexual behavior – การดูหนังที่มีเรื่องเพศ/เห็นร่างกายหรืออวัยวะเพศ - -> เกิดความต้องการทางเพศ - -> ระบายความต้องการทางเพศในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม เช่นร่วมเพศนอกสมรส ซื้อบริการทางเพศ มีความสัมพันธ์ซ้อน ฯลฯ หรือทำอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับเพศมากเกินไป/บ่อยเกินไป
อีกประการหนึ่งที่มักถูกหยิบยกในการเซ็นเซอร์สื่อคือการเลียนแบบ ความกลัวว่าคนจะทำตามรูปแบบเรื่องเพศนอกกรอบที่เห็นในสื่อ
ความกลัวว่าการเสพสื่อที่มีเรื่องเพศจะทำให้คน “หื่น” กลัวว่าความหื่นจะเกินความสามารถในการควบคุม หลงลืมหรือมองข้ามไปว่ากรอบเรื่องเพศว่าด้วยความถูกผิด/เหมาะควรที่ใช้ศีลธรรม ศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นตัวกำกับความเชื่อและค่านิยมเรื่องเพศ มีพลังในการกำกับคนอย่างมหาศาล คนไม่สามารถทำตามใจได้ในเรื่องเพศ การระบายออกหรือแสดงออกในเรื่องเพศถูกจำกัดโดนกรอบ กำกับแม้แต่ว่าอะไรบ้างเร้าความต้องการทางเพศของคน และเมื่อเกิดความต้องการจะแสดงออกในรูปใดได้บ้าง หรือต้องเก็บงำความต้องการไว้ ระบายออกโดยการกระทำทางเพศไม่ได้
ความไม่เชื่อมั่นในพลังของกรอบเรื่องเพศในการบังคับกำกับคน สวนทางกับมุมมองของคนทำงานวิชาการและนักเคลื่อนไหวประเด็นเพศวิถี ที่เห็นว่ากรอบเรื่องเพศช่าวงทรงพลังในการกุมความเชื่อของคนจนไม่ยอมฟังความรู้ความเห็นที่ต่างไป
เสรีภาพกับเพศวิถี
เราเชื่อว่าเรื่องเพศเป็นเรื่อง “ส่วนตัว” แปลว่าคนเลือกและทำได้อย่างที่ต้องการ แต่จริง ๆ แล้วเรื่องเพศถูกกำกับอย่างเข้มงวด แม้ในเวลาที่เราเชิดชูเสรีภาพ
ภาครัฐและหลายกลุ่มในประชาสังคมไม่เชื่อในความสามารถในการคิดใคร่ครวญและเลือกทางเลือกต่าง ๆ ของคน กลัวคนจะเลือกผิด จึงต้องคอยดูแลเหมือนผู้ใหญ่ดูแลเด็กอยู่ตลอดเวลา โดยเลือกว่าควรจะรับรู้อะไร ทำหรือไม่ทำอะไรได้บ้าง คงเพราะอย่างนี้การทะเลาะของคนไทยจึงมีลักษณะเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เช่นวิธีคิดว่าฉันถูกเสมอ คนที่เห็นไม่เหมือนฉันผิดเสมอ หรือฉันผิดแกก็ผิดเหมือนกัน แปลว่าไม่ผิดเพราะเสมอกัน ฯลฯ ซึ่งดูไม่ต่างจากเด็กทะเลาะกันนัก
ความกลัวว่าคนจะทำตามทุกอย่างที่เห็นในสื่อ เช่นเห็นคนข้ามเพศก็จะข้ามบ้าง เห็นคนรักเพศเดียวกันก็จะทำตาม ฯลฯ ความกลัวนี้มองไม่เห็นความเฉพาะเจาะจงของคนในเรื่องความต้องการและรสนิยม กรอบเรื่องเพศจะกำกับวิถีปฏิบัติและค่านิยมทางเพศในรูปแบบเดียวกัน ทำให้เรื่องบางเรื่องดูน่าขยะแขยงเกินกว่าจะทำตามหรือเลียนแบบเพียงเพราะเห็นคนอื่นทำ
ความเฉพาะเจาะจงของคนทำให้บางคนมีรสนิยมหรือวิถีปฏิบัติต่างไปจากกรอบเรื่องเพศ หลายคนพยายามขัดขืนและลุกขึ้นสู้กับกรอบเรื่องเพศ บางคนพ่ายแพ้และสยบยอมต่อ บางคนเป็นขบถที่ต้องสู้กับการถูกกดดันและการหาที่ยืน การออกนอกกรอบเรื่องเพศจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ราคาสูงสำหรับคนเป็นขบถที่ต้องรับปะทะในหลายรูปแบบ
ท่ามกลางการกำกับของกรอบเรื่องเพศกระแสหลัก คนอาจมีรสนิยมและวิถีเรื่องเพศต่างกัน เห็นรูปแบบและระดับความน่าขยะแขยงของเรื่องเพศต่างกันได้ การไม่ปล่อยให้คนเลือกเองว่าอะไรน่าขยะแขยงและควรปฏิเสธ อะไรทำให้พึงพอใจในทางเพศส่วนตัวโดยไม่ละเมิดผู้อื่น ดูจะเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมกำกับเรื่องเพศ โดยปฏิเสธสิทธิเสรีภาพในการเลือกทางเลือกในอาณาบริเวณที่ “ส่วนตัว” สุด ๆ ของคน
ฐานคิดหลักของการเซ็นเซอร์สื่อไม่ให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของคนแต่มองภาพใหญ่ของสังคมมากกว่า โดยอ้างว่าปล่อยให้คนทำตามใจไม่ได้เพราะอาจส่งผลให้ระเบียบของสังคมที่บอกว่าทุกคนควรดำเนินชีวิตและมีรสนิยมแบบเดียวกันจะล่มสลาย วิธีคิดแบบนี้ไม่เชื่อว่าคนควรมีเสรีภาพโดยมีข้อจำกัดว่าการใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ไปละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น
ความไม่เชื่อมั้นในความสามารถการเลือกทางเลือกของมนุษย์ ดูจะขัดกับภาพของมนุษย์ในฐานะผู้ถือครองสิทธิ และหลักการความเชื่อเรื่องสิทธิและเสรีภาพที่ให้คุณค่าสูงสุดกับปัจเจกและการสนองความต้องการของปัจเจก ซึ่งเป็นฐานหลักของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมหรือไม่
เสรีภาพเรื่องเพศวิถีกับเสรีภาพทางการเมือง – Freedom of Expression
ในระบบการเมืองไทย เราได้เห็นความต่อเนื่องของการจำกัดเรื่องเพศในสื่อ การเรียกร้องให้รัฐเซ็นเซร์สื่อ และการลงโทษคนที่สั่นคลอนเพศวิถีกระแสหลัก แต่ก็ได้เห็นการโหยหาประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมที่พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพไปด้วยพร้อม ๆ กัน โดยไม่เห็นความขัดแย้งกันเองของสิ่งที่เรียกร้อง
ดูเหมือนคนหลายกลุ่มจะให้ความสำคัญกับสิทธิที่เป็นทางการ/สิทธิทางการเมือง แต่มองไม่เห็นสิทธิเสรีภาพของปัจเจกในเรื่อง “ส่วนตัว” ที่ไปกันไม่ได้กับการกำกับเรื่องเพศอย่างเข้มงวด
หลายคนอาจจะเถียงว่าเสรีภาพในเรื่องเพศ/การเสพสื่อที่มีเนื้อหาเรื่องเพศเป็นเพียงเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับเรื่องบ้านเมืองซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ การละเมิดเสรีภาพทางการเมืองเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ควรเอามาเทียบกัน ข้อถกเถียงเช่นนี้ยิ่งดูประหลาดในเวลาของการเรียกร้องประชาธิปไตยหรือไม่
ถ้าเรื่องเพศเป็นเรื่องเล็กแต่เราไม่เปิดให้คนได้เลือกและแสดงออกได้ เพราะกลัวจะเลือกผิดหรือสร้างปัญหา แล้วเราจะปล่อยให้คนเลือก “เรื่องใหญ่” อย่างการเลือกตัวแทนทางการเมืองหรือผู้ใช้อำนาจทางการเมืองได้หรือ? เรื่องเล็กยังทำผิดแล้วจะทำเรื่องใหญ่ ๆ ถูกต้องได้อย่างไร?
ที่น่าคิดอีกเรื่องหนึ่งคือ แล้วอะไรคือเสรีภาพทางการเมือง เราหมายถึง Freedom of Expression – เสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็น วิถีชีวิต ระบบความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม และตัวตนในแง่มุมต่าง ๆ ของคน ใช่หรือไม่? การเรียกร้องเสรีภาพที่จะวิพากษ์ชนชั้นนำและผู้ใช้อำนาจทางการเมืองตั้งอยู่บนฐานการมองเสรีภาพแบบนี้มิใช่หรือ ถ้าใช่เสรีภาพทางการเมืองก็ไม่ใช่เพียงการแสดงออกเพื่อจะเขย่าศูนย์กลางของอำนาจทางการเมืองภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงเสรีภาพในการปล่อยให้คนแสดงออกในแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต รวมทั้งการนำเสนอและแสดงออกในเรื่องเพศด้วย
เสรีภาพในอาณาบริเวณที่ถูกมองว่าเป็นเรืองเล็กอย่างเพศวิถี เป็นเรื่องสำคัญยิ่งและทำให้ประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมมีความหมายในชีวิตของผู้คนมากมาย แต่ความที่เรื่องเพศ/เพศวิถีเป็นส่วนสำคัญของแก่นแกนของโลกทางสังคมของคน เป็นส่วนหนึ่งของระบบระเบียบที่คนคุ้นเคยและเป็นเรื่อง “ใกล้ใจ” ที่สะเทือนอารมณ์ความรู้สึกและกระตุ้นความกลัวการสูญเสียผิดหวังของคนได้โดยง่าย การเปิดให้มีเสรีภาพในการเลือกและแสดงออกเรื่องเพศวิถีจึงเป็นเรื่องยากเย็น เพราะเสรีภาพในเรื่องเพศวิถีสั่นคลอนและท้าทายโลกทางสังคมของผู้คนที่คุ้นกับการอยูกับระเบียบเรื่องเพศที่ชัดเจนเข้มงวด
การนำเสนอรูปแบบและค่านิยมทางเพศที่ต่างไปจากกรอบกระแสหลัก จึงเท่ากับเป็นการกระแทกเรื่องศักดิ๋สิทธิ์/ต้องห้ามที่ทำให้โลกทางสังคมดำรงอยู่อย่างที่ผู้คนรู้จัก คุ้นเคยและไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง (เพราะกลัวความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจนที่จะมากับการเปลี่ยนแปลง/เปลี่ยนผ่าน)
เข้าใจได้ที่คนจะไม่อยากให้เปิดเสรีในการนำเสนอแง่มุมต่าง ๆ ของเพศวิถีผ่านสื่อ แต่คำถามที่ตามมาก็คือการไม่เปิดเช่นนี้ไปกันไม่ได้กับฐานความเชื่อสำคัญของประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม การเปิด ๆ ปิด ๆ ในเรื่องเสรีภาพเช่นนี้จะทำให้ประชาธิปไตยที่หลายคนโหยหาปรากฏเป็นจริงได้หรือ??