วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Romantic Fool

คุณทำอะไรได้บ้างเพื่อความรัก

บางคนคงจะตอบในใจว่า ขึ้นอยู่กับรักใคร ถ้าเป็นรักตัวเองละก็ ทำทุกอย่างได้อยู่แล้วใช่ไหม แต่ถ้าทาร์เก็ตของความรักเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณเองล่ะ คุณยินดีจะทำอะไรให้เขาหรือเธอบ้าง

เชื่อไหมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำอะไรได้ทุกอย่าง สละได้แม้เกียรติยศชื่อเสียง การงานอาชีพ หรือแม้แต่ครอบครัว พ่อแม่อันเป็นที่รัก เพื่อคนที่รัก ซึ่งดูจะสำคัญที่สุดและมาก่อนอะไรทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมได้ คุณ ๆ คนอ่านบางคนอาจจะรู้สึกมหัศจรรย์กับความเป็นผู้ให้และทุ่มสุดตัวของคนหลายคนว่าอะไรจะขนาดนั้น เพราะตัวเองไม่เคยเป็นฝ่ายให้ใครเลย ชอบแต่จะรับ ขณะที่คนมีอาการเช่นนี้คงไม่ประหลาดใจเลย และออกจะเจ็บลึก ๆ เมื่อคิดถึงเรื่องทำนองนี้ด้วยซ้ำ

หนุ่มน้อยรายหนึ่งเรียนหนังสืออยู่แถวบางนา แต่ไปหลงรักสาวไกลขนาดต้องขับรถข้ามไปถึงสามจังหวัด เพราะโรงเรียนของสาวน้อยเธออยู่ไกลถึงปทุมธานี เพื่อความรักหนุ่มจึงยอมโดดเรียนและเบี้ยวนัดเพื่อนฝูงเพื่อจะไปรับไปส่งและใช้เวลากับสาวน้อยของเขาทุกวัน เอาเป็นว่าเวลาของเขาทั้งหมดยกให้เธอคนเดียว หรือเธอมาก่อนเสมอ

หนุ่มน้อยขับรถข้ามจังหวัดไปมาเช่นนี้อยู่เป็นแรมปีจนทั้งสองฝ่ายเรียนจบ โดยระหว่างเรียนหนุ่มก็จุนเจือสาวน้อยในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปด้วย เพราะฝ่ายสาวฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก เมื่อเรียนจบก็ยังช่วยส่งเสียสาวสุดที่รักให้ได้เรียนต่อ และยังดูแลไม่ให้เธอต้องยากลำบากด้วย แบบว่าพี่มีแต่ให้ยังไงยังงั้น

แต่สาวน้อยคนนี้เธอดูจะแปลก ๆ อยู่นะ เธอไม่ค่อยจะรักษาน้ำใจหนุ่มของเราเลย ทั้งดุทั้งด่าและงอนสุดฤทธิ์สุดเดชเมื่อไม่ได้อย่างใจ ดูเหมือนไม่ค่อยรักหนุ่มผู้แสนดีคนนี้ เลยทำให้หนุ่มน้อยของเราต้องคั้งคำถามในใจหลายครั้งหลายหน

เวลาผ่านไปอีกไม่นานนัก หนุ่มน้อยของเรา (และเพื่อน ๆ ที่คอยลุ้นอย่าง Lilith) ก็ได้คำตอบ เมื่อสาวน้อยเธอสารภาพว่าไม่ได้รักหนุ่มพ่อพระคนนี้หรอก และตั้งใจว่าจะแต่งงานกับคนที่เธอรัก (ตัวจริง) หลังจากจบปริญญาโทแล้ว

หนุ่มของเราแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว เพราะยอมทุ่มทั้งเงิน เวลา และความรู้สึกอยู่หลายปี Lilith เห็นใจหนุ่มคนนี้เป็นที่สุด แต่ก็อดถามให้สะเทือนใจไม่ได้ว่า ทำไมถึงได้ทุ่มเทอย่างไม่ยั้งไม่เผื่อขนาดนั้น ดูไม่ค่อยฉลาดเท่าที่ควรเลยนะเธอ หนุ่มน้อยคนนี้ตอบด้วยการยกนิยามของความรักที่ว่า ความรักคือการให้ และเมื่อรักแล้วก็ต้องให้อย่างเต็มที่โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

คำตอบแบบนี้ ฟังแล้วทั้งเอียนทั้งทะแม่ง ๆ อย่างไรอยู่ Lilith เลยถามต่อว่า หนุ่มน้อยของเราทุ่มเททุกอย่างโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเลยจริง ๆ หรือ หนุ่มน้อยผู้แสนดีบอกอย่างจริงใจว่า ไม่จริงหรอก พูดให้ฟังดีไปยังงั้นแหละ จริง ๆ แล้วหวังจะให้เขารักตอบน่ะสิ ถึงได้เจ็บจนแทบชักขนาดนี้

ไม่น่าเชื่อว่าความรักโรแมนติกเวอร์ชั่นที่ละครและนิยายหวานแหววแบบเน่า ๆ ช่างมีอิทธิพลกับความคิดความเชื่อของเราอย่างมากมายมหาศาลจริง ๆ คุณคนอ่านหลาย ๆ คนก็เชื่อเหมือนหนุ่มน้อยของ Lilith ไม่ใช่หรือว่า ความรักคือการให้ และเมื่อคุณรักใครแล้วก็ยอมให้ได้ทุกอย่างเหมือนกัน

หลายครั้งที่อ่อนล้าจากการเป็นผู้ให้แบบทุ่มเทสุดตัวสุดใจ คุณ ๆ บางคนอาจต้องถามตัวเองว่านอกจากความรักจะทำให้เราตาบอดแล้ว ยังทำให้เราโง่เง่าได้เพียงนี้เชียวหรือ เพราะการให้ของเราไม่ได้รับการตอบสนองที่ทำให้เราเป็นสุข แต่กลับทำให้เราต้องผิดหวังและเจ็บช้ำ ยิ่งโดนเข้าหลาย ๆ ครั้งก็ยิ่งตั้งคำถามกับนิยามที่ว่า ความรักคือการให้ ว่าถ้าให้อย่างเต็มที่แล้วได้แต่ความผิดหวังและเจ็บปวด จะให้ไปทำไมกัน นอกจากจะมีความสุขกับการทำร้ายตัวเอง

การให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งของโลกนี้ที่พูดง่าย แต่ทำยากเป็นที่สุด ที่เป็นและทำกันอยู่ในชีวิตนั้นเป็นอีกทางหนึ่งต่างหาก เพราะเราหวังจะได้ความรู้สึกดี ๆ ตอบจากคนที่เรารัก เราจึงทุ่มเทและยินดีเป็นฝ่ายให้กันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยิ่งบางคนเชื่อด้วยว่า รักแท้เอาชนะได้ทุกอย่าง เลยยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคิดว่าการทุ่มสุดตัวน่าจะทำให้ตัวเองได้อย่างที่หวัง

ความรักอาจจะเอาชนะอะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งชนะใจคนบางคนที่ไม่รักเรา แต่ก็มีหลายกรณีที่ความรักเป็นฝ่ายแพ้ และคนที่ไม่รักเราอย่างไร ก็ไม่รักเราอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าเราจะทุ่มเทให้มากมายขนาดไหน แต่เพราะเราเอานิยามความรักคือการให้มาปนกับความเชื่อในความยิ่งใหญ่ของความรัก เลยทำให้หลายคนออกอาการ romantic fool ที่ดูเหมือนตาบอด ทุ่มเททุกอย่างได้เพื่อความรัก เหมือนที่มีคนเคยเปรียบเปรยว่า เส้นแบ่งระหว่างความรักแท้และความโง่อย่างบัดซบนั้นช่างบางแสนบาง จนบางครั้งดูเหมือนทั้งสองอย่างปนเปเป็นเรื่องเดียวกัน

ลองมาตั้งต้นคิดใหม่ทำใหม่กันดีกว่า ลองถามตัวเองให้ดี ๆ และตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณสามารถให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนได้จริงหรือ คุณยินดีที่เห็นคนที่รักเป็นสุข ไม่ว่าคุณจะเป็นทุกข์มากแค่ไหนจริงหรือ หรือว่าคุณเองก็ต้องการให้คนคนนั้นรักตอบ แบบว่าคุณรู้สึกต่อเขาอย่างไร ทุ่มเทให้มากแค่ไหน ก็อยากให้เขารู้สึกแบบเดียวกันนั้นกับคุณบ้าง

ถ้าคุณอยากได้ความรักตอบแทนจากการให้และการทุ่มสุดตัวของคุณ ก็อาจจะต้องมีอการเผื่อใจไว้บ้างในกรณีที่เรื่องราวมันไม่ออกมาอย่างใจ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พูดง่ายทำยากเหมือนกัน เอาเป็นว่าของอย่างนี้มีความเสี่ยงและไม่แน่นอนสูงมากนะ เรามีโอกาสจะได้ความรู้สึกดี ๆ ตอบ และอาจจะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน คนที่เคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้ เขาบอกว่า บางที่ก็ต้องดูคนที่เป็นเป้าหมายของการทุ่มด้วยเหมือนกัน คนที่ทุ่มแล้วสมหวังก็เพราะเปาหมายของเขามีท่าทีตอบรับอยู่บ้างแล้ว แต่คนที่เขาไม่มีทีท่านี่สิออกจะลำบาก เพราะโอกาสไม่สมหวังดูจะสูงกว่า คุณยอมรับได้หรือเปล่าว่าความพยายามของคุณจะนำไปสู่ผลได้ทั้งสองทาง ไม่สมหวังก็ผิดหวัง

ความจริงที่เชื่อกันว่าความรักคือการให้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนักหรอก ถ้าเราบอกตัวเองได้ว่าเมื่อไรจะหยุดให้หรือหยุดทุ่ม ปัญหาของ romantic fool ก็คือ เขาและเธอไม่รู้หรือไม่ยอมรับว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วต้องหยุดทุ่มเสียที เพราะการเป็นฝ่ายให้ไปเรื่อย ๆ นั้นทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อตัวเขาเองและคนที่เกี่ยวข้องได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางวัตถุหรือจิตใจ

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ romantic fool อาจโชคไม่ดีไปเจอคนที่นอกจากจะไม่รักแล้วยังหาประโยชน์จากเขาหรือเธอเสียอีก เหมือนที่หนุ่มน้อยผู้แสนดีของ Lilith เจอเข้านั่นไง คุณ ๆ บางคนอาจคิดว่าการหาประโยชน์แบบนี้เป็นการหลอกกันอย่างเลือดเย็น แต่ก็อย่าลืมว่า ความพยายามทุ่มเทและยินดีให้นี้เองเป็นจุดอ่อนให้เขาฉวยโอกาสเอาได้ เราเองก็เต็มใจอยากให้อยากทุ่มอยู่แล้วนี่ ความโชคร้ายนี้เองที่ทำให้ romantic fool ต้องเจ็บปวด แต่หลายคนก็ไม่ยอมเข็ดหรือหยุดการทุ่มนั้นหรอกนะ

การให้อย่างไม่มีขอบเขตแบบนี้ทำให้ romantic fool ต้องเดือดร้อนหรือสูญเสียมากมาย ไม่แต่เฉพาะทรัพย์สิน เงินทองและเวลา ยังเป็นเรื่องของความรู้สึกคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง เมื่อ romantic fool ทุ่มเทให้คนรักจนมองข้ามความรู้สึกของคนที่รักตน หลายคนเสียงานเสียการ บางคนสูญเสียความน่าเชื่อถือหรือชื่อเสียง

สาว ๆ หลายคนอยากให้ชายหนุ่มของตนรักไม่หนีไปไหน ถึงกับยอมมีอะไรกับหนุ่มคนนั้นโดยไม่มีการป้องกัน (เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องคุยกันยาวอีกเหมือนกัน) หลายครั้งที่การทุ่มสุดตัวแบบนี้ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งหนุ่มไว้ได้ แถมสาวน้อยหลายคนได้ของแถมที่ตัวเองไม่ต้องการ เช่น ท้องโดยไม่ตั้งใจ กลายเป็นปัญหาใหม่ให้ต้องคิดและตัดสินโดยลำพัง บางคนติดโรคผ่านการร่วมเพศ อย่างกามโรคหรือเอดส์ ที่ความเสียหายอาจทำให้ต้องสูญเสียชีวิตได้

เพราะอย่างนี้คุณ ๆ ที่ชอบออกอาการ romantic fool ทั้งหลายจึงควรนึกถึงอะไรหลายอย่าง นอกจากจะต้องยอมรับว่าเรามีโอกาสผิดหวัง ไม่ว่าจะทุ่มมากมายแค่ไหน และคงต้องหยุดคิดเป็นระยะว่าถึงจุดที่จะถอยหรือยัง ของ (หรือคน) ที่ไม่ใช่ ทำอย่างไรก็ไม่ได้มาหรอกนะ

เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาถอยดีกว่า ก็คิดเสียว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว บังเอิญผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นอย่างใจเราเท่านั้น เอาไว้ลองดูใหม่คราวต่อไปก็แล้วกัน...

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

The Dream

คุณเชื่อไหมว่ามี “เนื้อคู่” ของคุณรอคุณอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งในโลกนี้ แล้ววันหนึ่งคุณทั้งสองจะได้พบกัน และใช้ชีวิตคู่อย่างเป็นสุข ชนิดถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร อย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่มักจะอวยพรคู่บ่าวสาวในงานแต่งงานแบบไทย ๆ

เราโตมากับ “ความฝัน” แบบนี้ เราได้ยินได้ฟังเรื่องทำนองนี้ซ้ำ ๆ จากนิทาน นิยาย หนังโรง หนังทีวี ที่มักจะจบด้วยฉากพระเอกนางเอกที่ดูดีเหมาะสมกันทั้งรูปโฉม ความเก่ง และความดีงาม ได้สมหวังในความรักอันสมบูรณ์แบบ เรื่องราวแบบเดิม ๆ นี้ถูกเล่าซ้ำ โดยอาจจะเปลี่ยนรายละเอียดของพระเอกนางเอกไปบ้าง แต่ดูแล้วหวานสนิทจนต้องเคลิ้ม แล้วถึงกับเชื่อย่างจริงจังว่า วันหนึ่งเราจะเจอคู่ของเราบ้าง เมื่อวันนั้นมาถึงเราคงจะเป็นสุข ไม่แพ้พระเอกนางเอกในนิทานหรือนิยายเลยทีเดียว

ฉากในความฝันของเราออกมาคล้าย ๆ กันทำนองนี้ว่า ในวันที่สวยงามวันหนึ่งเราจะเจอ “Mr. Right” หรือ “Miss Right” ที่เพียงได้สบตาก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ วิ่งพล่านไปทั่วร่าง โลกที่เคยมืดมนอึมครึมก็พลันสดใส ราวกับความทุกข์นานาของมนุษยชาติได้จบสิ้นลง จิตใจที่แห้งผากก็พลันอิ่มเอม ณ เวลานั้นเราได้รู้ทันทีว่าคนนี้แหละ ใช่เลย และก็สิ้นสุดการแสวงหาเสียที ต่อจากนี้ไปชีวิตของเราจะสมบูรณ์และ “เต็ม” ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป (อ่านแล้วพยายามรู้สึกหวานซึ้งหน่อยนะ บังเอิญ Lilith ก็ไม่ค่อยถนัดเขียนอะไรโรแมนติกเสียด้วย ถนัดแต่อะไรโหด ๆ น่ะ)

แต่ในชีวิตจริงของเรา อะไร ๆ มันไม่ยักง่ายอย่างในความฝัน ไม่มีใครมีชีวิตรักเรียบง่ายแบบนั้นสักคน หลายคนมีประสบการณ์ของการพบรักแล้วก็เลิกกันไปหลายครั้งหลายหน เหมือนนิยายเรื่องยาวที่มีทั้งรักเศร้าเคล้าน้ำตา หรือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นปนกับโศกนาฎกรรมใหญ่เล็กต่าง ๆ นานา ที่จะว่าไปแล้วมันหยดกว่าละครทีวีเสียอีก

สาวน้อยและสาวไม่น้อยจำนวนมากบอกว่า ในชีวิตนี้เจอแต่ “Mr. Wrong” ให้ต้องปวดหัวและปวดใจแล้วก็จบสิ้นกัน เพื่อจะเจอ “Mr. Wrong” คนต่อไป วนเวียนเป็นแพทเทิร์นซ้ำซากอยู่อย่างนี้ บางคนไม่เจอใครเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “Mr. Right” หรือ “Mr. Wrong” มีแต่ความว่างเปล่าที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นแบบไหน ดูเหมือนความฝันของเราจะไม่เป็นจริงเสียที น่าเศร้าปนสมเพทตัวเองจริง ๆ

คำอธิบายที่ Lilith ได้ยินได้ฟังมักจะเป็นประมาณนี้ พวกที่เจอหนุ่มโหดปนเลวมักจะโทษตัวเองว่าไม่รู้จักดูคนให้ดี ปล่อยให้ความหน้ามืดหรือความหลงเข้าครอบงำจนเห็นซาตานเป็นเทพบุตร บางคนที่เกิดอาการซวยซ้ำซาก เจอแต่คนผิดมาทั้งชีวิต ก็โทษเวรกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนทำให้ไม่มีโชคในเรื่องความรัก (เอ... แต่กรรมแบบนี้แก้กันได้ไม่ใช่เหรอ???) คิดได้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน สบายใจดี

สาวโชคร้ายหลายคนโทษตัวเองว่าไม่ดีหรือบกพร่อง ทำให้หาแฟนไม่ได้ หรือหาได้ก็ค่อนไปทางเลวสุดขีด คำอธิบายแบบนี้ทำให้เจ้าดัวอมทุกข์และต้องดิ้นรนเพื่อจำทำให้ตัวเองน่าสนใจ ดึงดูดใจชาย คิดแล้วก็เหนื่อยแทน แต่เข้าใจได้ว่าความพยายามที่เห็นเป็นเพราะเจ้าตัวเขายังมีหวัง

ในขณะที่บางคนก็โกรธแค้น “Mr. Wrong” และมองว่าเป็นเพราะผู้ชายไม่ดีไม่เข้าท่า ทำให้เราต้องลำบากเดือดร้อน เพราะผู้ชายไม่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้หญิง หรือมีความแตกต่างจากผู้หญิงมากจนสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง (เป็นคำอธิบายแบบ “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์” ไง) หรือบางคนก็ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ไม่มีความรับผิดชอบ เอาแต่ได้ และเราก็โชคร้ายบังเอิญมาเจอคนแบบนี้เข้า ก็เลยต้องลำบากแบบนี้แหละ แต่พวกเธอเหล่านี้ก็ยังเชื่อว่า สักวันจะหมดทุกข์หมดโศก โขคดีเสียที ที่ผ่านมานั้นยังไม่ใช่คู่แท้ เลยต้องแคล้วคลาดกันไป แต่ถ้าได้เจอเนื้อคู่ ก็จะไม่ต้องเจอกับปัญหาหรือความยากลำบากเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้อีกแล้ว

ที่ผู้คนยังพากันยึดมั่นกับความฝันเวอร์ชั่นเดียวแบบนี้ อาจเป็นเพราะโลกนี้ออกจะอยู่คนเดียวได้ยาก เราถูกบังคับให้ต้องอยู่กันเป็นคู่ เพราะใคร ๆ ในสังคมนี้ก็อยู่เป็นคู่กันทั้งนั้น และอะไรต่ออะไรที่คนเขาทำกันก็ไม่ค่อยเอื้อต่อการทำคนเดียวนัก ไหนจะความเหงาสุด ๆ ที่ไม่เข้าใครออกใครอีก การไม่มีคนอยู่ด้วยจึงเป็นเรื่องยาก ทำให้คนยึดติดอยู่กับความฝันว่า วันหนึ่งเราจะเจอหนึ่งเดียวคนนั้นของเรา

น้อยคนนักที่จะหันไปพิจารณาว่า สิ่งที่เราฝันนั้นเป็นจริงได้ยาก จะมีมนุษย์คนไหนในโลกนี้ได้อย่างใจเราไปทุกอย่าง ตัวเรายังทำให้ตัวเองไม่พอใจได้ในหลายเรื่องหลายเวลาเลย คนที่เราเล็งว่าจะเป็น “คนนั้น” ของเรา อาจมีหลายอย่างไม่ถูกใจ แต่ก็มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน คงต้องหักกลบลบหนี้เอาเองว่าพอไหวหรือเปล่า หรือจะผ่านไปป้ายหน้า

คนประเภท “The One” หรือหนึ่งเดียวคนนี้มีอยู่ก็แต่ในความฝันของเราเท่านั้น คนที่เดินไปเดินมาในโลกรอบตัวอาจจะดูเหมือนที่เราฝันไว้ แต่เขาหรือเธอก็เหมือนได้ในบางเวลาหรือบางแง่มุมเท่านั้น Mr. Right เป็น Mr. Right ได้บางเวลา แต่อีกหลาย ๆ เวลาก็กลายเป็น Mr. Wrong ไปได้เหมือนกัน

นี่ไม่ได้กำลังบอกให้ลดเสป็คลงหรอกนะ แต่คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนที่เราเฝ้าคอยมาทั้งชีวิต เขามีแง่มุมต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขาอย่างสลับซับซ้อน ถ้าจะให้ดีก็น่าจะมองเขาให้เต็ม ๆ ตาว่าเขาเป็นอย่างไร พอจะมีอนาคตบ้างหรือเปล่า แทนที่จะหลับหูหลับตายึดภาพฝันตามความคาดหวังของเราเป็นหลัก ถ้าคุณกำลังทำเช่นนั้น แปลว่าคุณกำลังหลงรักจินตนาการที่คุณสร้างขึ้นเอง ไม่ใช่คนจริง ๆ คนนั้นหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความผิดหวังอย่างแสนสาหัส เมื่อคนนั้นเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง

เพราะความฝันเวอร์ชั่นอมตะนิรันดร์กาลบอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ถ้าคนคนนั้นเป็นคู่แท้ของคุณก็ต้องเข้ากันได้หรือไปกันได้ดีอย่างไม่มีปัญหา ถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น คุณกำลังถูกหลอก! ก็คุณกับพี่น้องท้องเดียวกันยังไม่เหมือนกันหรือไม่ถูกกันเลย แล้วคนคนนั้นของคุณเป็นคนอื่นแท้ ๆ จะให้เข้ากันเป๊ะง่าย ๆ เชียวหรือ

ในที่สุดแล้ว ถ้าอยากให้ฝันเป็นจริงก็ต้องใช้เวลาและความพยายามทำความรู้จักคนนั้นในแบบที่เขาเป็น และเรียนรู้ที่จะปรับเข้าหากันตลอดเวลา เพราะคนแต่ละคนรวมทั้งตัวเราด้วยสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละช่วงเวลา แต่ที่น่าเวียนหัวไปกว่านั้นก็คือ จะทำอย่างไรไม่ให้คนใดคนหนึ่งสูญเสียตัวตนไป เพราะยอมตามอีกฝ่ายไปทุกเรื่องทุกอย่าง จนไม่เหลืออะไรเป็นของตนเอง นี่ก็ทรมานไปอีกแบบนะ โดยเฉพาะเมื่อได้ตระหนักในภายหลังว่าการยอมสูญเสียตัวตนไม่ได้ทำให้เป็นสุขหรือผูกพันคนที่ตนเองรักไว้ได้คู่แท้ที่จะอยู่กันได้แบบในความฝันเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นเองได้ง่าย ๆ

คนที่เคยผ่านเส้นทางอันยากลำบากนี้มาแล้วตั้งข้อสังเกตว่า การมีคู่ไม่ต่างอะไรกับการซื้อลอตเตอรี่ คือคุณอาจจะถูกรางวัลหรือต้องเสียเงินเปล่า ในที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรแน่นอน แม้ว่าจะพยายามกันเต็มที่แล้วก็ตาม

หลายคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะรู้สึกว่า Lilith ลืมคุณไปหรือเปล่า เพราะคุณแสวงหามาทั้งชีวิตก็ยังไม่มีใครให้ได้ออกแรงสร้างความสัมพันธ์ด้วยเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายมองข้ามคนอื่น ก็ถูกคนอื่น ๆ มองข้าม ยิ่งเวลาล่วงเลยไปก็ยิ่งน่าสยดสยองว่าอาจจะต้องอยู่คนเดียว ไม่ได้มีชีวิตแบบที่ ‘The Dream’ ให้ภาพไว้เป็นแน่แท้

ถ้าคุณกลุ้มใจเพราะเหตุนี้ ก็ขอให้ลองมองตัวเองดี ๆ ว่าที่คุณกลุ้มและกลัวนั้นเป็นเพราะความต้องการของคุณเองแท้ ๆ หรือเพราะคุณกำลังรู้สึกว่าชีวิตของคุณไม่สอดคล้องกับอภิมหาความฝันที่คนอื่น ๆ เขามีร่วมกันแน่ บางทีการไม่มีจของคุณก็อาจจะเป็นอะไรที่ดีในชีวิตก็ได้ เพราะคุณไม่ต้องดิ้นรนและลงทุนลงแรงเหมือนคนที่พยายามจะให้ความฝันเป็นความจริงก็ได้นะ

เอาเข้าจริงความฝันนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนหรอก บางทีคุณอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่หลุดไปจากพล็อตของความฝันก็ได้ โดยที่ไม่ใช่ความผิดของคุณด้วย แต่เป็นความบกพร่องของความฝันต่างหากที่คับแคบเหลือเกิน และไม่ได้รวมคุณเอาไว้ด้วย
ลองตั้งคำถามกับ ‘The Dream’ บ้าง บางทีชีวิตของคุณจะดีขึ้นและรู้สึกผิดหวังกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตน้อยลง เพราะในที่สุดแล้ว คุณอาจจะเห็นว่าเรื่องรักโรแมนติกนี่มันไม่โรแมนติกหรอกนะ กลับเป็นเรื่องยากเสียอีกที่จะรักษามันไว้

และถ้าคุณยังเชื่อว่าความรักทำให้อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย หรือความรักเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้วละก็ คุณกำลังฝันอยู่...

(Lilith's Voice, แพรวสุดสัปดาห์)

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เกมรุก VS. เกมรับ

Lilith ไปปิ้งหนุ่มคนหนึ่งเขาหละ ทั้งหล่อทั้งดีมีคุณภาพเลยที่เดียว แต่คุณหนุ่มคนนี้เธอดูจะเฉย ๆ อยู่นะ เห็นกันมาตั้งนานก็ไม่มีที่ท่าอะไรเลย Lilith พยายามจะส่งซิกทุกอย่างทั้งสายตาและคำพูดว่า “ฉันสนใจเธอมากกกกกก….นะ” หนุ่มคนนี้ก็ยังเฉย ๆ อยู่เหมือนเดิม แล้วมันยังไงกันนะ ไม่สนใจเราเลยหรือยังไง จะผ่านเลยไปหาเอาใหม่ดาบหน้าหรือก็เสียด๊าย…เสียดาย… ถ้ายังงั้นลุยเสียเลยดีไหม?

แต่การจีบกันนี่มีกติกาอยู่นะ กติกาข้อแรกคือผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเริ่มจีบส่วนผู้หญิงก็สงบนิ่งอยู่ในที่ตั้งรอให้ผู้ชายเขาเป็นฝ่ายรุก ถ้าไม่เล่นตามกติกาก็มีการลงโทษเหมือนฟุตบอลเสียด้วย ทำให้เป็นอะไรที่เล่นยากชะมัด แถมเมื่อไม่สมหวังก็อาจเจ็บลึกปางตาย โอย...ยิ่งคิด ยิ่งน่ากลัวยังไงไม่รู้

เพราะอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ Lilith ต้องคิดหน้าคิดหลังแปดตลบอยู่นั่นแหละ ก็ผู้หญิงไม่ควรเป็นฝ่ายเปิดเกมก่อนนี่น่า ขืนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอาจได้เปลี่ยนสปีชี่ส์จากคนกลายเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีนอไป คิดๆดูแล้วยอมทำตามกติกาด้วยการนั่งรอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มต้นจะดีกว่า ปลอดภัยดี แต่สำหรับผู้ชายคนที่เราปิ๊งเขาเฉยๆ และทำท่าว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่กับเรา ซึ่งแปลว่าชายหนุ่มคงไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนแน่นอน กรณีนี้เราจะทำอย่างไร ถ้าเป็นคุณ คุณจะตั้งมั่นเป็นฝ่ายรับรอการเปิดเกมจากผู้ชายต่อไป หรือจะเป็นฝ่ายกระโดดเข้าสู่เกมอันน่าตื่นเต้นนี้เสียเอง

แนวโน้มของการไม่ได้อย่างใจเมื่อคนที่เราสนใจทำท่าเฉยๆก็คือ เราจะยิ่งโหยหาอยากได้คนที่เราไม่ได้มากขึ้น คนที่ดูดีน่าสนใจอยู่แล้วก็ยิ่งดีเลิศประเสริฐศรีไปอีกคน เพราะดีๆถูกใจเราก็ไม่ใช่อะไรที่พบเจอได้ง่ายๆเสียด้วย เป็นไปได้ว่า อีก 10-20 ปี จากนี้เราอาจไม่ได้เจอใครแบบนี้อีกแล้ว และจะมีความสงสัยค้างคาอยู่ในใจว่า ถ้าตอนนั้นเรายอมเสี่ยงหน้าแตก แสดงความในใจให้ปรากฏชัดเจนกับหนุ่มน่ารักคนนั้นเสีย เขาอาจจะโอ.เค.จนมีความสัมพันธ์อันยืดยาว ทำให้ชีวิตเราสุขกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ คนนี้อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรา แต่เรากลับปล่อยให้โอกาสผ่านไป แล้วต้องไปลงเอยกับคนที่ดีน้อยกว่านี้ในอนาคต อย่ากระนั้นเลย เสี่ยงลุยเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า จะได้รู้ไปว่าแท้ที่จริงคนคนนี้คิดอย่างไรกับเรา จะได้ไม่ต้องมานั่งสงสัยในอนาคต

นอกจากนี้อาการวางเฉยของผู้ชายก็มีความหมายได้หลายอย่างนะ คุณหนุ่มคนนั้นเธออาจจะขี้อายไม่กล้าเริ่มต้นก่อนก็ได้ ผู้ชายจำนวนมากกลัวการถูกปฏิเสธจากผู้หญิง คือยอมรับอาการ “แห้ว” ไม่ค่อยได้ เพราะกลัวเสียใจ กลัวเสียหน้า หรือเสียความเชื่อมั่นในตัวเองมากบ้างน้อยบ้าง คงนึกออกนะว่าถ้าคนที่เราสนใจเขาตอบกลับมาว่า “ฉันไม่ชอบเธอหรอก” (หรือจะให้นุ่มนวลกว่านั้นก็อาจจะบอกว่า “เราเป็นเพื่อนกันก็ดีแล้วนี่นะ” อย่าเป็นอย่างอื่นเลย แต่ผู้สันทัดกรณีคนหนึ่งบอกว่า ถ้าตอบอย่างนุ่มนวลอย่างนี้ยังพอมีหวังนะ เพราะไม่ได้ตัดให้ขาดสะบั้นไปเลยทีเดียว) เราจะรู้สึกอย่างไร คงทั้งเซ็งทั้งเศร้าใช่ไหม
อาการเฉย ๆ ค่อนไปทางบื้อของผู้ชายอาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ ซึ่งมีรากฐานมาจากความไม่ค่อยฉลาดและ/หรือไม่ค่อยเฉลียวของผู้ชายคนนั้นก็ได้อีกนั่นแหละ ผู้ชายบางคนดูไม่ออกจริง ๆ ว่าผู้หญิงมีทีท่าหรือสนใจ เพราะไม่คุ้นเคยกับท่าทีของผู้หญิงหรือเอาแต่อ่านผู้หญิงจากวิธีคิดของผู้ชาย มองผู้หญิงเหมือนมองผู้ชายที่เป็นเพื่อนเลยอ่านมารยาหญิงไม่ค่อยออกหรือตีความผิดไป บางคนอาจจะเป็นเอามากถึงขนาดว่าผู้หญิงทิ้งผ้าเช็ดหน้าเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ (แปลว่าอ่อยน่ะ) ก็ยังอุตส่าห์เดินข้ามหรือเหยียบผ้าเช็ดหน้านั้นเสียได้ อย่างนี้ก็มี

สรุปก็คือการที่ผู้ชายวางเฉยต่อความสนใจของเรามีความหมายได้หลายอย่างที่อาจจะไม่ใช่การปฏิเสธเราเสียทีเดียวก็ได้ เมื่อบวกกับความเสียดายว่าคนนี้อาจจะดีที่สุดในชีวิตนี้แล้วก็ได้ (อะไรที่ไม่ได้มาก็มักจะมีค่ามากอย่างนี้แหละ) ทำให้ผู้หญิงบางคน เช่น Lilith เป็นต้น มุมานะเล่นบทฝ่ายรุกบ้างเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในชีวิต และจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจต่อไป

ผลลัพธ์ของการรุกเป็นไปได้หลายอย่าง บางทีก็เป็นแฮปปี้เอ็นดิ้งได้เหมือนกัน เพราะฝ่ายหนุ่มรู้สึกประทับใจและมีค่าเมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน หรือบางหนุ่มอาจจะมีใจอยู่บ้างแล้ว การรุกของฝ่ายหญิงจึงทำให้อะไร ๆ ง่ายขึ้น

แต่ในอีกหลาย ๆ กรณีเรื่องจบลงอย่างเศร้าแกมสยดสยอง เมื่อผู้ชายไม่เล่นด้วยไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ หรือเพราะเหตุอื่น ๆ ระดับความเศร้าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวิธีการโต้ตอบหรือปฏิเสธของผู้ชาย แต่ก็มีสาว ๆ หลายคนที่เคยเล่นบทฝ่ายรุกบอกว่าไม่ว่าผู้ชายจะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลน่ารักขนาดไหน ก็เศร้ามากอยู่ดี เพราะรู้สึกทั้งเสียใจและไร้ค่า อาการแห้วไม่ว่าจะเพราะอะไรและอย่างไรทำให้เราเจ็บทั้งนั้น

หนุ่ม ๆ หลายคนไม่ชอบและรับไม่ได้กับการเป็นฝ่ายรุกของผู้หญิง พวกนี้ชอบเล่นอยู่ในเกมที่กำหนดชัดเจนว่าใครควรจะทำอะไร เกมการจีบกันที่เราคุ้นเคยกำหนดให้การเริ่มต้นจีบหรือการแสดงความสนใจเป็นเรื่องของผู้ชาย โดยบอกเราว่าผู้หญิงต้องทำตัวให้น่ารักน่าปรารถนาเพื่อให้ผู้ชายสนใจ เรายังเชื่อด้วยว่าสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงคือการเลือก โดยผู้หญิงต้องเลือกคนดี ๆ จากบรรดาคุณผู้ชายที่มาแสดงความสนใจหรือรุมจีบ แต่ถ้าคิดให้ดี ๆ ก็น่าสงสัยนะว่าใครเป็นฝ่ายเลือกใครกันแน่ โดยบทบาทของการเป็นฝ่ายเริ่มต้นผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกว่าจะจีบหรือไม่จีบใคร ผู้ชายต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง โดยผู้หญิง (บางคน) อาจจะมีโอกาสได้เลือกผู้ชายบ้างจากกลุ่มคนที่เดินเข้ามาหาหรือมาจีบเท่านั้น ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปไม่น่าจะมากนัก และเป็นการเลือกหลังจากที่ผู้ชายเขาได้เลือกก่อนแล้วว่าจะจีบหรือไม่จีบเรา

อย่าลืมว่าผู้หญิงทุกคนไม่ได้เจ้าเสน่ห์ไปหมด บางคนรอทั้งชาติก็ไม่มีคนมาจีบ พอมีหลงมาสักคนก็ต้องรีบคว้าไว้ไม่เช่นนั้นก็ต้องสถิตย์อยู่บนคานทองนิเวศน์ตลอดไป สาว ๆ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกไม่มีโอกาสได้เลือกอย่างนี้เสียมากกว่า แต่เป็นฝ่ายรอว่าอะไรก็ตามที่พลัดหลงเข้ามาก็ต้องคว้าไว้ และคนที่หลงเข้ามาก็อาจจะไม่ใช่คนที่เราพออกพอใจ แต่ต้องทำใจให้ชอบเพราะอาจจะไม่มีใครหลงเข้ามาอีก (อ่านแล้วเวียนหัวไหม?)

แต่การฮึดของสาวบางคนที่จะเพิ่มช้อยส์ให้ตัวเองด้วยการเล่นบทรุก อาจจะทำให้หนุ่ม ๆ ที่เป็นเป้าหมายตกใจกลัวและเผ่นป่าราบไปมากกว่าที่จะต่อไมตรีด้วยเผื่อจะเวิร์ค หนุ่มพวกนี้หลงติดอยู่กับภาพของนางในฝันประเภทสาวน้อยแสนหวาน เรียบร้อยขี้อายเป็นฝ่ายรับหรือช้างเท้าหลังที่ดีอะไรทำนองนั้น พอมาเจอผู้หญิงเป็นฝ่ายรุกก็ต้องตกอกตกใจบ้างเป็นธรรมดา แล้วพาลมองว่ายายคนนี้ท่าจะไม่ใช่ผู้หญิงดีๆกระมัง จึงได้มาไล่ล่าผู้ชายขนาดนี้ แล้วก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไปตามฟอร์ม

และด้วยความกลัวนี้เองทำให้ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงจีบบางคนโต้ตอบด้วยท่าทีไม่น่ารักหรือถ้อยคำที่รุนแรง ก็เขาคิดว่าผู้หญิงที่เป็นฝ่ายรุกไม่น่าจะเป็นคนดีนัก เพราะไม่เล่นตามกฎกติกามารยาทของการจีบกันนี่น่า สาวๆที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเปิดเกมกับหนุ่มที่ตัวเองสนใจก่อนเลยต้องเศร้าสนิท เมื่อถูกตัดไมตรีอย่างไม่เหลือเยื่อใยด้วยคำพูดที่แปลได้ว่า “ผมไม่สนใจ อย่างมายุ่งกับผม” ...แค่คิดก็เศร้าแล้วเนอะ

สาวๆที่เจออะไรทำนองนี้พยายามเข้าใจชายหนุ่มขี้กลัวพวกนี้หน่อยแล้วกัน ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเราสักนิด คงพอเข้าใจได้ว่าการเจอกับอะไรที่เราไม่คุ้นเคยนี้ทั้งอึดอัดและน่ากลัวนะ พอผสมเข้ากับความไม่ชอบไม่พิศวาทคนที่เริ่มรุกเข้าไปอีกเลยยิ่งไปกันใหญ่ สาว ๆ ทั้งหลายก็คงจะเคยร้ายกาจกับหนุ่มที่ตัวเองไม่ชอบแล้วมาตามจีบอยู่เหมือนกันใช่ไหม?

ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการที่หนุ่มเหล่านี้มองสาวนักรุกเป็นผู้หญิงไม่ดี และอาจจะกระจายข่าวป่าวประกาศความไม่ดีให้เป็นที่รู้ทั่วกันเสียอีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความห่ามของสุนัขที่ตั้งรกรากอยู่ในปากของเขาคนนั้น ถ้าบังเอิญโชคร้ายไปเจอเอาหนุ่มที่ทั้งขวัญอ่อนและปากมากก็ต้องทำใจว่าเราไม่เคารพกฎกติกาของเกมนี้ ก็เลยต้องโดนลงโทษเข้าให้บ้าง การถูกมองไม่ดีก็เป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใจถึงพอก็อย่าหลุดออกนอกกรอบมาเล่นเกมรุกเป็นอันขาด เจ็บตัวเจ็บใจเปล่า ๆ เล่นตามกติกาต่อไปรอลูกฟลุ้คเอาก็แล้วกัน

อ่านมาถึงตรงนี้คนที่กำลังอินเลิฟและอยากจะเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองอาจจะห่อเหี่ยวหมดกำลังใจไปแล้ว อย่าเพิ่งกลัวนะคะ…ของอย่างนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ แต่ก่อนจะลองก็ถามตัวเองให้ดี ๆ ก่อนว่าเราอึดพอที่จะรับความเจ็บนานาประการที่จะเกิดขึ้นถ้าหนุ่มเขาบังเอิญไม่เล่นด้วยหรือเปล่า และหนุ่มคนนั้นคุ้มค่าความเสี่ยงต่อการเจ็บตัวเจ็บใจนี้หรือเปล่า ของอย่างนี้ไม่มีใครบอกใครหรือคิดแทนกันได้หรอก คุณเองนั่นแหละรู้คำตอบดีที่สุด ถ้าเกมรุกของคุณประสบความสำเร็จคุณคงจะแฮปปี้พอควร จะสุขมากสุขน้อยก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว
แต่ก็อย่าลืมเตือนตัวเองว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ ถ้าบังเอิญเรื่องของเราจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมประดับโลกนี้อีกหนึ่งเรื่องก็ถือเสียว่าโชคไม่ดีก็แล้วกัน และต้องรับกับผลของการไม่เล่นตามกฎด้วย

จะว่าไปแล้วการเล่นเกมรุกนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนทำได้หรือเหมาะกับทุกคนหรอก ต้องคนกระดูกแข็ง ๆ ความอดทนมาก ๆ และพอมองเห็นถึงความเสี่ยงและราคาของการแหกกฎเท่านั้นที่พอจะเล่นได้โดยไม่บอบช้ำเกินไป เรื่องนี้คงต้องไปประเมินกันเอาเองนะ
หลังจากตรวจสอบตัวเองดี ๆ แล้ว คุณอยากจะเล่นเกมรุกหรือเกมรับกันคะ ว่าง ๆ ก็เล่าให้ Lilith ฟังบ้างแล้วกัน…
ตกหลุมรัก “ความรัก”

เพื่อนรักคนหนึ่งของ Lilith ชื่อ Helen (คนนี้เป็นแฟนกับเจ้าชายชื่อ Paris ไม่ใช่นางแบบหรือนางงามที่เรารู้จักหรอกนะ) ผู้แสนจะโชกโชนในเรื่องความรักความสัมพันธ์ เพิ่งจะมาปรับทุกข์ว่าเลิกกับแฟนคนล่าสุดเสียแล้ว และเศร้าจนเสียน้ำตาไปหลายหยด พร้อมกับบ่นเข็ดหลาบในความรัก เพราะความรู้สึกดี ๆ ในตอนแรก ๆ หายไปอย่างรวดเร็ว เหลือแต่อะไรที่ทั้งทุกข์ทั้งไม่สนุกเลย แถมยังโดน “ทิ้ง” เสียอีกทำให้เซ็งชีวิตและเบื่อตัวเองเป็นที่สุด

เวลาผ่านไปไม่นานนักเธอคนเดิมเริ่มจะบ่นอยากจะมีแฟนอีกแล้ว คราวนี้ลงทุนหาอะไรใหม่ ๆ ทำ ตั้งแต่เป็นสมาชิก Health Club ไปจนถึงเข้าถึงเธค – บาร์ – ผับ สารพัดรูปแบบ แถมยังคิดจะไปเรียนปริญญาโท เผื่อจะเจอผู้ชายดี ๆ มีคุณภาพบ้าง

Lilith ก็ช่วยลุ้นไปด้วยตามประสาเพื่อนที่ดี แต่ก็อดมหัศจรรย์ใจในอาการไขว่คว้าหาความรักอย่างเอาเป็นเอาตายของเพื่อนรักคนนี้ไม่ได้ คำอธิบายของเธอก็คือความรักทำให้เธอรู้สึกดี รู้สึกเต็มและมีชีวิต ในขณะที่การอยู่คนเดียวแบบไม่มีใคร (คือไม่มีแฟน) ออกจะเหงาและว่างเปล่า ไม่เต็มสมบูรณ์เหมือนมีใครบางคนในชีวิตเหมือนเวลามีความรัก

ว่ากันว่าผู้หญิงมักจะสวยขึ้นเมื่อมีความรัก ผิวพรรณก็ดีอะไรประมาณนั้น ดูเหมือนความรักจะทำให้เกิดอะไรดี ๆ หลายอย่าง แม้ว่าจะมีคำเตือนมากมายเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่ไม่ดีของความรัก เช่นอาการไร้สติ ทำอะไรตามอารมณ์และเสียงานเสียการ ไปจนถึงการทำลายล้างเมื่อไม่ได้อย่างใจด้วย ก็อย่างที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าความรักทำให้คนตาบอดไง (จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้เห็นอะไรชัดเจนนักเมื่อไม่มีความรักหรอกนะ)

คงเพราะความรู้สึกดี ๆ หลายอย่างที่เราได้รับเมื่อมีความรัก ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายจำนวนมากเกิดอาการติดความรักอย่างจริงจังเหมือนติดฝิ่นเลยนะ เขาและเธอเหล่านี้ถึงกับยอมทนกับการถูกรังแกทางกายทางใจสารพัดรูปแบบเพื่อที่จะรักษาคนที่คิดว่าตนเองรักไว้ แบบว่าร้ายยังไงก็รักเลยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้าพวกเราบางคนเจอกับอะไรแบบนั้นจากคนที่เราไม่ได้รู้สึกดีด้วยมาก ๆ คงได้มีการลงไม้ลงมือแสดงแสนยานุภาพให้เป็นที่ปรากฏไปแล้ว แต่เธอและเขาเหล่านี้กับยอมทน

เมื่อสูญเสียคนรักไปไม่ว่าจะเป็นเพราะทนไม่ไหวเลยต้องเลิกหรือเพราะถูกทิ้ง ก็ต้องรีบร้อนดิ้นรนหาคนใหม่มาเป็นเป้าหมายทดแทน เอาเป็นว่าขาดความรักไม่ได้เลยก็แล้วกัน
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือหลายคนมีอาการเห็นเพียงแว็บเดียวก็รักแล้ว ไม่ต้องพูดจาทำความรู้จักก็ได้ และแว็บเดียวนี้เองทำให้คลั่งไคล้ใหลหลงอยากได้เธอหรือเขาคนนั้นมาเป็นของเรา และพร้อมจะทำทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา

เขาและเธอมีอาการหัวใจเต้นแรงเมื่อได้พบหรือเพียงแอบเห็นคน ๆ นั้น นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เฝ้าแต่คิดถึงคนที่เป็นเป้าหมายในใจ แต่ก็ดูสดใสไม่ทรุดโทรม ใบหน้าเปล่งปลั่งสวยหรือหล่อขึ้นอีกต่างหาก ไม่เหมือนกับคนที่อดหลับอดนอนแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังออกอาการอารมณ์ดีตลอดเวลา จนยิ้มคนเดียวได้แบบเคลิ้ม ๆ ออกอาการใกล้เคียงคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น

ก็นั่นแหละนะ คนฉลาดบางคนบอกว่าเส้นแบ่งระหว่างความรักแท้และความบ้าออกจะบางและลางเลือนมาก คนมีความรักจึงแสดงอาการแปลก ๆ ในสายตาของคนที่ชีวิตแห้งแล้งไม่มีความรักทั้งหลาย เราได้เห็นคนอื่นและตัวเราเองยอมทำทุกอย่าง สละได้ทุกอย่างโดยไม่นึกถึงสิ่งที่จะตามมาเพื่อจะให้ได้อยู่ใกล้ ได้เห็นหน้า หรือเพื่อจะทำให้คนที่เรารักมีพอใจ

เรื่องเล่ามากมายที่เราได้รับรู้เป็นเรื่องของอานุภาพของความรัก ที่เพราะความอยากจะได้สมปรารถนาทำให้เกิดความวินาศวอดวายกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่เราพอจะคุ้นกันบ้างคงเป็นเวอร์ชั่นไทยปนแขกอย่างรามเกียรติ์ ที่ด้วยความรัก (ปิ้ง) นางสีดาทำให้ทศกรรณทุ่มสุดตัวจนวงศาคณายักษ์แทบล่มสลายเลยทีเดียว นี่ถ้านางสีดาเธอกลายเป็นแฟนกับทศกรรณเสีย ทศกรรณอาจจะเป็นฝ่ายเบื่อและบอกเลิกภายในสามเดือนหกเดือนก็ได้ ความรักที่ไม่ได้สมใจก็มีพลังอย่างนี้แหละ

(ขอนอกเรื่องสักนิดเถอะ พวกเราคงยังจำ “นางนาก” ได้ใช่ไหม คนที่ตายท้องกลมแล้วเป็นผีที่ถูกสร้างเป็นหนังให้พวกเราดูหลายรอบแล้วไง รอบล่าสุดก็ประสบความสำเร็จอย่างมากมายมหาศาล พวกเราเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าคุณนากเธอเกิดไม่ตายตอนคลอดลูกจะเกิดอะไรขึ้น Lilith ว่าตาพ่อมากคงจะไปมีเมียน้อยอีกหลายคน ปล่อยให้คุณนากเลี้ยงลูกในตำแหน่งเมียหลวงอยู่กับบ้าน ไม่กลายเป็นเรื่องรักอมตะให้พวกเราต้องน้ำตาซึมเมื่อทั้งสองต้องลาจากกันอย่างที่เราได้ดูในหนังหรอก)

มีบางคนบอกว่าไอ้สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ๆ ได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ความรักหรอกนะ แต่เป็นความหลงบวกความตื่นเต้นในอะไรใหม่ ๆ ต่างหาก แถมยังมีความรู้สึกมีค่าเป็นที่ปรารถนาของบางคนปน ๆ เข้ามาอีก เลยทำให้ทั้งเคลิ้มทั้งเพ้อกันได้ขนาดนั้น

แต่ไม่ว่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีมากกก….ขนาดนั้น…จะเป็นความรักหรือความหลง ก็ดูจะอายุไม่ยืนนัก (มีแต่ความรักที่ไม่สมหวังหรือไม่ได้มาเท่านั้นแหละที่จะเป็นอมตะอยู่ในใจเราตลอดไป) โดยเฉพาะเมื่อเรา “สมหวัง” คือได้คนที่เราไปตกหลุมรักมาเป็นของเราในฐานะแฟนหรืออะไรที่เป็นทางการกว่าแฟน ไม่นานนักหรอกอาการใจเต้นแรง นอนไม่หลับ พร่ำเพ้อละเมอหาก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทีนี้ละปัญหานานาประการจะเข้ามาแทนที่ กลายเป็นความปวดหัวปนน่าเบื่อหน่าย เพราะคนที่เราได้มาทำท่าจะเป็นคนละคนกับคนที่เราหลงรักเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียแล้ว

ปัญหาและความทุกข์ที่จะตามมาหลังจากหมอกควันของความรักความหลงจางลงจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับโชคหรือเคราะห์ของแต่ละคน ถ้าโชคดีสักนิดปัญหาหลักก็จะเป็นเรื่องของการพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรือความเบื่อเมื่อคนที่เรารักไม่ได้อย่างใจ ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งปรับความเข้าใจกันบ่อย ๆ แต่สำหรับคนโชคร้ายที่ไปเจอคนไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก แต่เราดันไปหลงรักเขาอย่างจับใจจนทำทุกอย่าง สละทุกอย่างให้ได้เพียงขอให้เธอหรือเขาคนนั้นเป็นสุข สิ่งที่ได้รับตอบแทนมาอาจจะเป็นการทำร้ายจิตใจ (หรือบางทีก็ร่างกายด้วย) อยู่ตลอดเวลาทั้งโดยคำพูดและการกระทำ ความรักสำหรับคนพวกหลังนี้กลายเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสไปในที่สุด

ตอนจบของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและระดับความอดทนของแต่ละคน แต่เมื่อคนหลุดจากความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นสุขมาได้ไม่นานนักก็มักจะเริ่มมองหา “ความรัก” อีกแล้วพร้อมกับเชื่ออย่างจริงจังเสียด้วยนะว่าคราวต่อไปต้องดีกว่านี้แน่
คนหลายคนมีโอกาสเข้า ๆ ออก ๆ จากความรักความสัมพันธ์หลายครั้งหลายหนในช่วงชีวิตหนึ่ง ทำให้ได้รู้สึกถึงความเต็มตื้นหวานซึ้งของความรักในช่วงเริ่มต้น ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นปัญหาและความเจ็บปวดจนต้องถอยออกมาในที่สุด เพื่อที่จะไปมองหาคนใหม่และความรักใหม่เข้ามาแทนที่ กลายเป็นวงจรอุบาทว์อย่างไรอยู่ แต่ก็ไม่มีใครเข็ดหลาบอย่างจริงจังหรอกนะ คนส่วนใหญ่ก็ยังมองหาความรักและคนที่จะรักกันอยู่เหมือนเดิม ไม่ค่อยจะมีใครยอมทลายวงจรอุบาทว์ในชีวิตของตนเองกัน

ที่ความรักกลายเป็นเรื่องสำคัญและเราติดความรักกันงอมแงมขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกดี ๆ ที่ทั้งสวยงามและอบอุ่นของการมีความรัก แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าสังคมของเราบังคับให้คนต้องอยู่กันเป็นคู่ ด้วยเหตุผลหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องของการเลี้ยงและดูแลเด็ก คนที่ไม่มีคู่จึงออกจะอยู่ลำบาก เพราะความเหงา (ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จัดการได้ยากเช่นเดียวกัน)และขาดการสนับสนุนทางกายทางใจ ความจำเป็นเช่นนี้ผลักให้คนต้องมองหาคนเป็นเพื่อนใจเพื่อจะได้ไม่เหงาจนเกินไป โดยความเข้าใจผิดว่าการมีคู่ร่วมชีวิตจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับความเหงา หารู้ไม่ว่าการมีคู่ที่ไม่ค่อยเข้าท่านอกจากจะทำให้เหงาเหมือน ๆ กับคนไม่มีแฟนแล้วยังอาจจะต้องปวดหัวปวดประสาทมากกว่าเพราะปัญหาของความสัมพันธ์ด้วย แต่เพียงเพราะอยากมีคนอยู่ด้วย ไม่อยากอยู่คนเดียว ทำให้คนไม่เข็ดหลาบกับความรักความสัมพันธ์

แต่การโหยหาความรักและติดอยู่กับวงจรของความรักและการเลิกรักกับคนที่ผ่านมาในชีวิตหลาย ๆ คนเข้า ก็ทำให้บางคนเห็นว่าความรักแต่ละครั้งเป็นเรื่องของความรู้สึกแบบเดิม ๆ เพียงแต่คนที่เป็นจุดหมายหรือเป็นฝ่ายรับเปลี่ยนไป เราตื่นเต้น คิดถึง อยากอยู่ใกล้ อยากได้มา และไม่อยากเสียคนที่เรารักไปและอะไรทำนองนี้ที่เป็นแบบเดิม ๆ ทุกครั้งที่มีความรัก ดูเหมือนความรู้สึกรักของเราจะมีแบบเดียวแต่ผลิตซ้ำ ๆ เหมือนซีร็อกซ์หลาย ๆ หน บางทีคนที่เรารักอาจจะไม่ได้พิเศษหรือสำคัญนัก ใครก็ได้ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาในชีวิต ขอให้เราได้รู้สึกถึงอะไรดี ๆ ที่เป็นอาการของการมีความรักก็พอ ความรู้สึกของการมีความรักต่างหากที่ดึงดูดเราและทำให้เรารู้สึกดี จนโหยหาความรู้สึกเช่นนั้นอีก แม้ว่าจะถูกทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัส ก็ยังอยากจะมีความรู้สึกดี ๆ ของการตกหลุมรักอีก เพราะในช่วงต้นเมื่อความตื่นเต้นและความพิเศษยังชัดเจนนั้น เรารู้สึกดีจริงๆ

เป็นไปได้ไหมว่าเราไม่ได้รักคนหรอกนะ แต่เราตกหลุมรักการได้รู้สึกรักต่างหาก เพราะความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เรารู้สึกดีและมีชีวิต จนอยากจะรู้สึกเช่นนั้นอีกไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

แล้วคุณละ ตกหลุมรัก “ความรัก” อยู่เหมือนกันหรือเปล่า?…

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เขารักเรา…เขาไม่รักเรา
เมื่อวันก่อน Lilith ได้ยินเพลง “เหนื่อยไหม” ของพี่เบิร์ดทางวิทยุ (สาวกปีศาจที่ชะโงกหน้ามาแอบอ่านบอกว่า การอ้างอิงเพลงของพี่เบิร์ดแบบนี้ทำให้คนอ่านรู้ว่า Lilith แก่อย่างแน่นอน ก็แก่จริง ๆ นี่ อายุตั้ง 3000 กว่าปีแล้วนะตัวเอง) เลยทำให้นึกถึงคำถามที่สาว (ไม่) น้อยคนหนึ่งเคยถามไว้เมื่อไม่นานมานี้ ถ้าคุณเคยฟังเพลงนี้ก็คงพอจะจำได้กระมังว่า พี่เบิร์ดเธอตั้งคำถามกับคนที่รักเขาข้างเดียวและพยายามจะทำทุกอย่างให้คน ๆ นั้นหันมาสนใจหรือรับรู้ในความรู้สึกที่มีอยู่ ความพยายามอย่างมากมายนี้แปลว่าต้องออกแรงกายแรงใจไม่ใช่น้อย ซึ่งก็น่าจะเหนื่อยอยู่หรอก

กลับมาที่คำถามของสาว (ไม่) น้อยคนนั้นดีกว่า… สาว (ไม่) น้อยคนนี้หลงรักคน ๆ หนึ่งอย่างหัวปักหัวปำ แต่เวลาผ่านไปนานพอควร คนนั้นเขาก็ไม่ได้มีที่ท่าตอบสนองในทางบวกเลยแม้แต่น้อย สาว (ไม่) น้อยของเราพยายามทุกรูปแบบที่จะเผยความในใจให้คน ๆ นั้นรู้และเห็นใจ จะว่าไปแล้วคนนั้นเขาก็รู้นะแต่บังเอิญไม่เห็นใจ ของแบบนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง เรื่องนี้วุ่นวายปนเศร้ามากขึ้นเมื่อมีคนอีกคนหนึ่งเกิดมาปิ้งสาว (ไม่) น้อยของเราเข้า และก็พยายามจะทำทุกอย่างให้เธอรู้และเห็นใจบ้าง ทีนี้ก็ยุ่งละสิ เพราะเธอรำคาญคนหลังนี่เป็นที่สุดและก็พยายามจะวิ่งไล่ตามคนแรกที่เธอไปหลงรักแบบไม่ยอมเปลี่ยนใจเข้า แล้ววันหนึ่งที่เธอเหนื่อยกับการวิ่งตามและเริ่มจะรู้สึกสิ้นหวัง เธอก็ถาม Lilith ว่าเธอจะทำอย่างไรดี จะกัดฟันพยายามกับคนแรกที่เธอแสนรักต่อไปเผื่อว่าฝันจะเป็นจริงสักวันหนึ่ง หรือว่าหันไปหาอีกคนที่เฝ้าเพียรพยายามจะทำให้เธอมีใจตอบดี

ถ้ามีคนถามคุณแบบนี้ คุณจะตอบเขาหรือเธอว่ายังไงดี?

Lilith ว่าโลกนี้ไม่ค่อยจะพอดีเท่าไรนักนะ โดยเฉพาะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นี่ยิ่งไม่ค่อยพอดี ไม่อย่างนั้น Lilith คงไม่ได้หน้ากระดาษตรงนี้มาเพื่อส่งเสียงร้องป่าวเกี่ยวกับปัญหาหัวใจของชาวบ้านอย่างนี้หรอก ลองคิดดูนะว่าบนเส้นทางการผจญภัยในยุทธจักรของความรักความสัมพันธ์ในชีวิตของคุณมีกี่ครั้งที่คุณไปหลงรักคนที่เขาไม่แม้แต่จะมองเห็นคุณ และคนที่คุณไม่ปิ๊งแม้แต่น้อยกลับมาหลงรักคุณอย่างหัวปักหัวปำ ทำให้คุณได้ออกอาการเจ็บปนรำคาญอย่างไรอยู่เหมือนกับสาวน้อยของ Lilith นี่ไง ในสถานาการณ์แบบนั้นคุณอาจจะเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้บ้างก็ได้

ที่หนึ่งที่คนมักจะได้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตรักของตนคือจากภาพยนตร์ (ไม่ใช่แมกกาซีนหรอกนะ เสียใจด้วยคุณบ.ก.) หนังไทยและฝรั่งหลาย ๆ เรื่องดูเหมือนจะให้คำตอบที่ไม่ชัดเจนนัก ถ้าในหนังเรื่องนั้นนางเอกเป็นฝ่ายหลงรักและคนที่ไม่รักตอบเป็นพระเอก หนังเรื่องนั้นก็จะบอกเราว่าให้สู้ตายค่ะ เดี๋ยวก็ดีเอง แต่ถ้านางเอกไปหลงรักคนที่ไม่ใช่พระเอกหรือหนุ่มที่ไม่ใช่พระเอกมาหลงรักนางเอก หนังก็จะบอกให้ “ลืมเสียเถิด อย่าไปหลงรักเขาต่อไปเลย” เพื่อจะให้นางเอกไปลงเอยกับพระเอก และบางทีก็มีการให้รางวัลปลอบใจกับตัวประกอบอกหักด้วยการให้มีหญิงสาวผู้แสนดี (แต่ไม่เริ่ดเท่านางเอก) เข้ามาช่วยดามอก

ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์รักเขาข้างเดียวแบบสามเส้านี้บ้าง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้าไหนคือพระเอกหรือนางเอกตัวจริงที่เราควรจะเลือก ที่แย่ไปกว่านั้นคือเราเองอาจจะไม่ใช่พระเอกนางเอก แต่เป็นตัวประกอบที่ต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้ตัวเอกของเรื่องก็ได้ ในที่สุดก็ต้องคิดและตัดสินใจเรื่องยาก ๆ แบบนี้เอาเอง ลองมาชั่งน้ำหนักกันดีกว่าว่าแต่ละทางเลือกของเราเป็นอย่างไรบ้าง

เป็นธรรมดาพวกเราส่วนใหญ่พออกพอใจกับคนที่เราหลงรักมากกว่าคนที่เราไม่สนใจ ของยังงี้มันแหงอยู่แล้ว แต่คนนั้นเขาเฉย ๆ กับเรานี่นะ ถ้าจะใช้นโยบาย “สู้ตายค่ะ” ก็ต้องทำใจไว้เยอะ ๆ ว่าคนที่เราเฝ้าหลงรักอาจจะไม่ได้ชื่นชมปลาบปลื้มกับความพยายามจะเอาอกเอาใจและการแสดงความรู้สึกของเรานัก แถมจะออกอาการรำคาญให้เราช้ำหนักเข้าไปอีกก็ได้นะตัวเอง และความที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา เขาก็มักจะไม่รักษาน้ำใจเราและไม่สนใจใยดีอะไรกับเราสักน้อยนิด ความห่วงใย คิดถึงและอยากอยู่ใกล้ที่เราทำในรูปแบบต่าง ๆ เช่นโทรไปหา ฯลฯ ถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ ความไม่รักไม่สนใจทำให้อะไร ๆ ที่เกี่ยวกับเราและอะไรที่เราทำดูไม่น่ารักไปหมด เจออย่างนี้เข้าคุณก็คงจะทั้งเสียใจและน้อยใจอยู่บ่อย ๆ

บางคนที่โชคร้ายหนัก ๆ ก็อาจจะถูกคนที่เฝ้าหลงรักหลอกให้ทำนั่นนี่โน่นแบบคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ทำทุกอย่างให้ฟรี ๆ ไปเสียอีก แถมยังทำดีด้วย Lilith เคยเห็นสาวน้อยหน้าใสคนหนึ่งเฝ้าเอาอกเอาใจหนุ่มที่เธอหลงรักในร้านอาหาร แต่ฝ่ายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการยินดีหรือพอใจใด ๆ ทั้งสิ้น แถมยังตะคอกสาวน้อยอย่างหยาบคายราวกับสุนัขสำรากของโสโครกอย่างไรอย่างนั้น ฉากเศร้านี้ดำเนินไปครู่ใหญ่ก่อนที่หนุ่มโหดคนนั้นจะพลุนพลันลุกหนีไปด้วยความโกรธและขัดหูขัดตากับทุกอย่างที่สาวน้อยพยายามทำ สาวน้อยคงจะสุดทนกับอารมณ์เถื่อนและความไม่ใยดีนั้นน้ำตาเธอจึงไหลรินอาบแก้ม เธอเฝ้าเดินตามหนุ่มคนรักและร้องไห้ไปด้วยอย่างไม่อับอายคนที่เดินผ่านไปมา ฝ่ายหนุ่มโหดยิ่งโกรธนักที่สาวน้อยน้ำตาร่วง (คงจะหน้าบางอายคนที่แอบดูหรือมองดูฉากโหดนี้อย่างเปิดเผยกระมัง) จึงยิ่งทั้งขู่ทั้งด่าด้วยเสียงอันดังชนิดที่ทำให้คนที่เห็นเหตุการณ์สรุปได้ในใจว่านอกจากจะโหดแล้ว บุพการีที่บ้านคงสั่งสอนมาน้อยด้วย

คุณเคยถูกทำร้ายความรู้สึกโดยคนที่คุณรักขนาดนี้หรือเปล่า ในเวลาแบบนั้นคุณคงรู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยไร้ค่าของเราที่ทำให้ทั้งเจ็บทั้งเหนื่อยเลยนะ ก็แบบที่พี่เบิร์ดถามในเพลง “เหนื่อยไหม” นั่นแหละ แต่เอาเป็นว่านี่เป็นสถานการณ์ที่คุณจะเจอถ้าคุณเลือกที่จะเล่นบทตื้อคนที่เขาไม่รักคุณ เพราะความที่เขาไม่รักเขาก็เลยทำร้ายความรู้สึกของคุณได้ตลอดเวลาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ยิ่งถ้าไปเจอคนประเภทเดียวกับหนุ่มโหดคนนั้นก็จะยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก แม้ว่าคนที่คุณรักจะไม่โหดแบบนั้น และคุณก็มักจะยินดีที่จะทำให้คนที่รักมีความสุข แต่การได้รับรู้ความจริงอยู่ตลอดเวลาว่าคน ๆ นั้นเขาไม่รักเราสักนิด หรือไม่ได้รู้สึกกับเราอย่างที่เรารู้สึกกับเขาก็เจ็บแล้วนะ มีพวกซาดิสต์บางคนบอกว่า ในความเจ็บปวดนั้นเขาก็เป็นสุขที่ได้แสดงออกถึงความรักความอาทรต่อคนที่เขารักเช่นนั้น และได้เฝ้าดูอยู่ไกลบ้างใกล้บ้างก็ดีกว่าไม่ได้เห็นกันเลย เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหนก็จะรักและภักดี ยินดีที่จะทำให้เธอเป็นสุขอะไรประมาณนั้น (น้ำเน่าจัง แต่ก็ดูท่าจะเป็นสุขจริง ๆ กระมัง)

พวกที่เลือกจะไม่ยอมแพ้บางคนให้เหตุผลอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า สักวันหนึ่งคนที่เขารักอาจจะเห็นใจในความดีงามและความจงรักภักดีของเขาก็ แล้วทุกอย่างก็จะแฮปปี้เอนดิ้ง เขาจึงยึดเอายุทธการ “น้ำหยดลงหิน” (ทุกวันหินมันยังกร่อน) ไปเรื่อย ๆ อย่างอดทนและมีความหวัง แต่ Lilith ก็อดสงสัยอยู่ในใจโดยไม่ถามออกมาดังๆ ให้คนพวกนี้เขาเสียกำลังใจว่า “หิน” อาจจะไม่กร่อนก็ได้นะ ถ้าคนเขาไม่รักและทำยังไงก็ไม่รัก ของที่ไม่ใช่ยังไง ๆ ก็ไม่ใช่ แล้วจะทำยังไง ไม่ยิ่งช้ำหนักไปกว่าเดิมหรือ ในที่สุดแล้วคนช่างตื้อเหล่านี้ก็อาจจะต้องมาถามตัวเองอยู่ดีว่าทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร เพราะทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ

ถ้าอย่างนั้นเลือกรักคนที่เขารักเราดีกว่าหรือเปล่า ที่ตอบได้ทันทีคือคุณคงไม่แฮปปี้กระดี้กระด้านักหรอกและอาจจะไม่สนุกเลยก็ได้ การต้องอยู่ใกล้ ๆ คนที่เราไม่รู้สึกดีด้วยแบบนั้นเป็นเรื่องทารุณไม่ใช่น้อย และคุณก็อาจจะปกปิดความรำคาญและไม่ชื่นชมไว้ไม่อยู่ ต้องมีหลุดออกมาให้คน ๆ นั้นเขารู้สึกได้เป็นระยะ ๆ ด้วยคำพูดและการกระทำของคุณ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่น่ารักโดยธรรมชาติด้วยแล้ว อย่างสาวน้อยที่เจออาการหมาสำรอกอาจมของหนุ่มโหดที่ Lilith เล่าให้ฟังไง ความซวยอย่างมหาศาลก็จะบังเกิดกับคนที่เป็นฝ่ายหลงรักคุณให้ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ก็ของมันไม่รักไม่ชอบนี่จะทำยังไงได้ หนุ่มโหดคนนั้นเขาก็อาจจะบอกตัวเองอยู่ในใจแบบนี้ก็ได้ คนที่เราไม่รู้สึกดี ๆ ด้วยนี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด เลยต้องด่าระบายความเครียดเสียบ้าง

เอาเป็นว่าในสถานการณ์ “เขารักเรา…เขาไม่รักเรา” แบบนี้ ดูสถานการณ์จะไม่ค่อยน่ารื่นรมย์แต่ออกจะมืดมนนักไม่ว่าจะเลือกทางไหน ไม่คุณถูกทำร้ายโดยคนที่คุณรัก คุณก็เป็นฝ่ายทำร้ายคนที่รักคุณ คุณ ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์สามเส้าแบบนี้ลองหยุดคิดสักนิดดีไหมว่าทำไมเราจึงต้องเลือกระหว่างการรักคนที่รักเรา แต่เขาไม่รักเรา หรือการรักคนที่เขารักเราดีกว่า

เราต้องการอะไรกันแน่?

ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองต้องเลือกคนใดคนหนึ่งเพียงเพื่อจะมีใครบางคนในชีวิต ก็ลองคิดดูให้ดี ๆ นะ ว่ามันคุ้มกัลป์ความเสี่ยงและความเหนื่อยหรือไม่ คุณทำใจได้หรือไม่ว่า ในที่สุดไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็อาจไม่เวิร์คอยู่ดี เพราะตอนจบของเรื่องจริงในชีวิตคุณ อาจไม่เหมือนในหนังที่อะไรดูง่าย ๆ และลงตัว แฮปปี้เอนดิ้งที่คุณอยากเห็นคงต้องอาศัยการทำใจให้แฮปปี้ของคุณอยู่มากเลยทีเดียว

หยุดคิดและทำใจสักนิดว่าจะเลือกทางไหน หรือผ่านไปป้ายหน้าที่สถานการณ์อาจจะน่าวิงเวียนน้อยกว่านี้ แต่ Lilith เชื่อว่าคุณ ๆ คงตัดสินใจไม่ถอย (แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน) และเลือกทางใดทางหนึ่งอย่างที่เล่ามานี้แน่นอน

คนที่ยังเคยเจ็บหนัก ๆ เพราะความรัก มักจะไม่กลัวเป็นธรรมดา ไว้รอให้แก่ ๆ มากกว่านี้กันก่อนเถอะถึงจะเริ่มเข็ด…

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รักมาก… (เลย) โหดมาก

Lilith เพิ่งจะดูละครหุ่นกระบอกของญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เมื่อดูแล้วก็คิดว่าต้องมาเปล่งเสียงเล่าให้คุณ ๆ ทั้งหลายอ่านเสียหน่อย อันที่จริงพล็อตเรื่องและลักษณะของตัวเอกไม่ค่อยจะแตกต่างจากนิทานและวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่องนัก แต่บังเอิญไม่ค่อยจะได้ดูละคนจักร ๆ วงศ์ ๆ ของไทยนัก ก็เลยต้องหยิบยืมเรื่องราวของญี่ปุ่นมาเป็นตัวนำเรื่องเช่นนี้
ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้หญิงโชคร้ายที่บังเอิญไปประสบพบรักกับเจ้าชายที่หลบหนีการไล่ล่าของศัตรูด้วยการปลอมตัวเป็นสามัญชน พระเอกของเรานัดหมายกับหญิงคนรักของตนที่วัดแห่งหนึ่ง แต่ระหว่างทางได้ไปแวะพักที่บ้านของชาวบ้านคนหนึ่งก่อน ลูกสาวเจ้าของบ้านเกิดตกหลุมรักเจ้าชายเข้าอย่างจัง โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงพระเอกเป็นเจ้าชายที่สูงศักดิ์และก็มีแฟนแล้วเสียด้วย เมื่อเจ้าชายพบกับหญิงคนรักแล้ว ก็ได้พากันเดินทางต่อไปยังวัดที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ทิ้งให้สาวชาวบ้านอกหักอย่างรุนแรง แล้วความเสียใจของสาวชาวบ้านก็กลายเป็นความแค้นปนความหึงที่เจ้าชายหนีไปกับผู้หญิงอื่น เธอจึงตัดสินใจจะตามเจ้าชายไปที่วัดอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
เมื่อมาถึงริมฝั่งน้ำซึ่งมีเพียงเรือจ้างจอดเทียบท่าอยู่เพียงลำเดียว โดยคนแจวเรือจ้างได้รับคำสั่งจากเจ้าชายไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าให้ปฏิเสธถ้าสาวชาวบ้านมาขอให้พาข้ามแม่น้ำ สาวชาวบ้านซึ่งได้กลายเป็นนางร้ายอย่างเต็มตัวไปแล้วในตอนนี้ได้พยายามอ้อนวอนขอร้องคนแจวเรือจ้างอยู่เป็นนาน ก็ไม่ได้ผลแถมยังถูกว่ากล่าวถากถางให้เจ็บใจเสียอีก แต่เธอก็ไม่สามารถตัดใจจากเจ้าชายที่เธอรักได้แถมยังบวกเอาแรงหึงอย่างรุนแรงเข้าไปอีก เธอจึงไม่ลดละความพยายามจะติดตามเจ้าชายและตัดสินใจจะข้ามแม่น้ำเอง ความฝังจิตฝังใจและอยากได้เจ้าชายมาเป็นของตนอย่างตัดใจไม่ได้ทำให้สาวชาวบ้านกลายร่างเป็นปีศาจร้ายในรูปของงูยักษ์ไป ภาพสะท้อนของเธอในน้ำขณะที่เธอยืนอยู่ริมฝั่งน้ำนั้นไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านอีกแล้วแต่เป็นปีศาจเต็มขั้น (ตอนนี้น่ากลัวมากเพราะหุ่นผู้หญิงหน้าตาสวยงามแสยะปากได้กว้างถึงใบหู แถมมีฟันแหลม ๆ ซี่เล็ก ๆ เต็มปาก เหมือนปีศาจที่เราเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นนั่นแหละ) ความหึงหวงบวกความโกรธแค้นทำให้เธอต้องการจะแก้แค้นเจ้าชายที่ทอดทิ้งเธอไปกับหญิงอื่น
สาวชาวบ้านซึ่งกลายร่างเป็นปีศาจงูข้ามแม่น้ำซึ่งเชี่ยวกรากจนเกิดเป็นน้ำวนที่รุนแรงน่ากลัวไปได้ด้วยแรงหึงและแรงแค้น (โปรดเข้าใจว่าการต้องเจอกับน้ำวนในทะเลนั้นไม่สนุกสนานบันเทิงเหมือนกับที่เจอในจาคุซซี่หรอกนะ) เธอตามไปถึงที่วัดที่เป็นจุดนัดพบของเจ้าชายกับหญิงคนรัก พระในวัดได้พยายามจะช่วยเหลือเจ้าชายด้วยการพาไปซ่อนในระฆังขนาดใหญ่ นางงูยักษ์ค้นหาทั้งวัดจนรู้ว่าเจ้าชายซ่อนอยู่ในระฆัง เธอจึงเผาทั้งระฆังและเจ้าชายด้วยไฟแค้นจนมอดไหม้ไปทั้งคนทั้งระฆัง นิทานเรื่องนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของความหึงหวงที่ไม่ละวางจนนำไปสู่การทำลายล้างอย่างไม่หยุดยั้งที่จบลงในรูปของโศกนาฏกรรมและการสูญเสีย
ว่ากันว่าผู้หญิงญี่ปุ่นเป็นอะไรที่น่ากลัวไม่ใช่น้อย แถมยังเคยมีเขาเสียด้วยนะ ชุดแต่งงานของผู้หญิงจึงต้องมีส่วนที่เป็นผ้าคล้ายหมวกคลุมศีรษะเหมือนที่เราเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่นเพื่อจะซ่อนเขาเอาไว้ ถ้าดูจากเรื่องราวที่เล่ามานี้ก็คงต้องยอมรับในความน่ากลัวของผู้หญิงญี่ปุ่น หนุ่มไทยที่หลงใหลใฝ่ฝันในภาพของผู้หญิงญี่ปุ่นว่าน่ารักแบบคิคุทั้งหลายระวังให้ดีเถอะ เจอคนมีเขาและโหดสุด ๆ เข้าแล้วจะหนาว อันที่จริงผู้หญิงชาติอื่นก็น่ากลัวไม่ใช่เล่นโดยเฉพาะเมื่อเกิดอารมณ์หึงหวง หลายคนอาจจะกลายเป็นอะไรได้มากกว่างูยักษ์ก็ได้ เอาเป็นว่าผู้หญิงต่างก็มีความเป็นปีศาจอยู่ในตัวด้วยกันทุกคน ผู้ชายถึงทั้งเกลียดทั้งกลัวไง…
ความเป็นปีศาจที่ซ่อนเร้นในตัวผู้หญิงอาจจะมาจากอาการที่นักจิตวิทยาฝรั่งเขาเรียกว่ารักมากเกินไป ทำให้ยึดคนที่รักไว้อย่างไม่ยอมปล่อย และเมื่อเหนี่ยวรั้งไว้ไม่อยู่ความรักที่มากล้นก็กลายเป็นความเกลียดอย่างรุนแรงที่ทำลายล้างได้ทุกอย่างทั้งตนเองและคนที่รัก เรื่องราวของผู้ชายที่ทิ้งหรือเลิกกับผู้หญิง แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมเลิก แถมยังตามตื้อต่าง ๆ นานา หรือถ้าผู้ชายไปมีคนรักใหม่ก็ไปตามรังควาญผู้หญิงคนใหม่เป็นพล็อตเดิม ๆ ที่เราได้ยินได้ฟังทั้งจากวรรณคดีนิทานและนิยายมาทุกยุคทุกสมัย รายที่น่าสงสารเห็นจะเป็น “ผีเสื้อสมุทร” ที่ไล่ล่าพระอภัยมณีซึ่งหนีไปกับนางเงือก แล้วต้องอกแตกตายเพราะเสียงปี่ของชายอันเป็นที่รัก แต่เหตุผลของการอกแตกน่าจะเป็นเพราะความเสียใจอย่างสุดแสนที่พระอภัยมณีทิ้งไปแบบไม่เหลียวหลัง และทำอย่างไรก็ดึงให้พระเอกกลับมาเป็นของตนอีกไม่ได้มากกว่า คนที่ได้ยินเรื่องราวของผีเสื้อสมุทรมักจะไปเอาใจช่วยให้พระอภัยมณีหนีพ้นจากเธอได้ (ก็เขาเป็นพระเอกนี่นา วรรณคดีเรื่องนี้ก็เป็นชื่อของเขา) เหมือนกับที่เราลุ้นให้บรรดาพระเอกนิยายทิ้งแฟนเก่ามาเป็นแฟนกับนางเอกได้สำเร็จนั่นแหละ ความคลั่งพระเอกนางเอกของเราทำให้การกระทำที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าหลายอย่างของตัวละครเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ไป ส่วนบรรดานางร้ายที่เป็นฝ่ายถูกทำร้ายจิตใจกลับถูกสาปแช่ง เขียนถึงตรงนี้แล้วอยากเชิญชวนให้ไปเยี่ยมผีเสื้อสมุทรที่ยืนแช่น้ำทะเลอยู่ที่เพชรบุรีกันบ้าง สงสารน่ะ
พล็อตซ้ำซากที่ปรากฏในนิยาย นิทาน หรือภาพยนตร์ที่เราดูทำให้สงสัยกันบ้างหรือเปล่าว่าทำไมผู้หญิงถึงต้องเป็นฝ่ายยึดมั่นกับผู้ชายประมาณว่ารักนั้นนิรันดร ในขณะที่ผู้ชายเป็นฝ่ายวิ่งหน้าตั้งเพื่อจะหนีผู้หญิงที่ตัวเองก็เคยรักหรือมีความสัมพันธ์ด้วยแท้ ๆ เรื่องทำนองนี้เป็นเพียงนิทานหรือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของคนกันแน่ คนที่ผ่านประสบการณ์รักโศกมาโชกโชนเขาพากันยืนยันกับ Lilith ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจนกลายเป็นแพทเทิร์นอย่างหนึ่งของชีวิตคนเลยทีเดียว
มีชายหนุ่มน้อยหนุ่มมากหลายคนเคยมาขอคำแนะนำจาก Lilith เกี่ยวกับวิธีการกำจัดแฟนที่อยากจะให้เป็นอดีตแฟนเสียที แต่คุณเธอกลับเกาะติดหนึบแบบไม่ยอมปล่อย แถมทำอะไรที่เป็นการประชดประชันและเรียกร้องความสนใจอย่างน่ารำคาญ (เฮ้อ! เป็นเสียอย่างนี้แหละ พอหมดรักอะไร ๆ ก็ดูไม่เข้าท่าเข้าทางไปหมด) หนุ่มผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งเล่าว่าในชีวิตที่ผ่านมามีแฟนมาไม่กี่คน แต่สลัดใครไม่หลุดสักคนเพราะอดีตแฟนเหล่านั้นยังคงรักเขาอยู่และเฝ้าตามตื้ออย่างเอาเป็นเอาตาย นี่ก็แปลกไปอีกแบบนะ
เรื่องราวของคนเหล่านี้ทำให้ Lilith อดสงสัยไม่ได้ว่าในขณะที่ผู้ชายรักแล้วเลิกรักและอยากจะทิ้งความสัมพันธ์ให้เป็นอดีต ทำไมผู้หญิงไม่ยอมปล่อยวางกันบ้างนะ หรือว่าผู้หญิงรักใครก็รักจริงแบบเลิกรักไม่เป็นอะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เพราะทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็น่าจะเบื่อคนที่ตัวเองคบอยู่หรืออยู่ด้วยได้ และก็น่าจะอยากเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่ดีได้เหมือน ๆ กัน แล้วทำไมผู้หญิงที่รักมากยึดมั่นถือมั่นมากจึงกลายเป็นตำนานมาตั้งแต่โบราณกาล และสืบทอดอาการรักมากเกินไปแบบรุ่นแล้วรุ่นเล่าแบบไม่ยอมสูญพันธุ์กันเสียด้วย
เป็นไปได้ไหมว่าอะไรบางอย่างที่ผู้หญิงยึดถือเชื่อมั่นทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มจะกลายเป็นคนที่รักมากยึดมั่นในคนรักมากอย่างที่ออกอาการกันมาตลอด ผู้รู้หลายคนบอกว่าความรักและความสัมพันธ์เป็นศูนย์กลางของชีวิตสำหรับผู้หญิง ในขณะที่ผู้ชายอาจจะให้ความสัมพันธ์กับความรักบ้างในบางเวลาแต่ก็มีแง่มุมอื่น ๆ ในความเป็นลูกผู้ชายที่เขาต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน เช่นการประสบความสำเร็จในการเรียนและหน้าที่การงาน หรือการมีอำนาจวาสนา และอะไรประมาณนั้น สาว ๆ ทั้งหลายมักจะรู้สึกว่าชีวิตของตนไม่สมบูรณ์และไม่เป็นสุขถ้าไม่มีแฟน เพราะอย่างนี้มั้งคุณผู้หญิงทั้งสาวน้อยสาวมากจึงมักจะเป็นจริงเป็นจังกับการปิ๊ง การชอบพอ หรือความรัก แบบว่ารักใครก็รักจริง ในขณะที่คุณหนุ่ม ๆ มีทั้งเล่นทั้งจริงจังกับความสัมพันธ์ และส่วนใหญ่ก็มักจะเล่นมากกว่าจริง แบบเจ้าชายในละครหุ่นกระบอกญี่ปุ่นนั่นไง นัดพบกับแฟนไว้แท้ ๆ ยังอุตส่าห์หาเศษหาเลยจนเป็นเรื่องเพราะพิษรักแรงหึง
ที่ยุ่งไปกว่านั้นก็คือผู้หญิงส่วนใหญ่เชื่ออย่างจริงจังว่าในชีวิตนี้ควรจะมีแฟนคนเดียวหรือน้อยคนที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่ควรจะมีเปลี่ยนแฟนไปเรื่อยหรือมีความสัมพันธ์กับคนหลาย ๆ คน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ผู้หญิงจึงมักจะอึดกว่าผู้ชายในความสัมพันธ์ที่ไม่ดี และทนอยู่กับความไม่เป็นสุขได้นานกว่าผู้ชาย บางคนถึงกับไม่ยอมเลิกกับแฟนอย่างเด็ดขาดไม่ว่าผู้ชายจะไม่ดีอย่างไรหรือความสัมพันธ์นั้นจะมีปัญหามากขนาดไหน เพราะไม่อยากจะมีความสัมพันธ์กับผู้ชายมากกว่าหนึ่งคน
พอเอาความจริงจังกับความรักมารวมเข้ากับความเชื่อใน “หนึ่งเดียวคนนี้” เข้า ผลที่ได้ก็ออกมาทำนองสาวญี่ปุ่นที่กลายเป็นงูยักษ์เพราะความหึงหวงหรือผีเสื้อสมุทรที่เรารู้จักดี อะไรทำนองนี้กลายเป็นความไม่พอดีที่อมตะนิรันดรกาลในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างชายหญิง ที่ผู้ชายไม่ค่อยชอบหยุดอยู่กับที่กับผู้หญิงคนเดียว แต่ผู้หญิงยึดมั่นถือมั่นกับความรักจนสละได้แม้ชีวิตหรือทำลายล้างได้ทุกอย่างโดยไม่ยอมปล่อยผู้ชายที่รักไป
ว่ากันว่าผู้ชายใช้เวลาที่ดีที่สุดของวัยหนุ่มเพื่อจะให้ได้มาซึ่งหญิงอันเป็นที่รัก และเพื่อที่จะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิตเพื่อพยายามจะหนีจากเธอไป โดยฝ่ายหญิงก็จะตามล่าหรือจองล้างจองผลาญอย่างไม่ลดละ เพื่อที่จะยึดเอาชายอันเป็นที่รักไว้ให้เป็นของเธอตลอดไป การตามล่านี้มักจะจบลงเมื่อตายจากกันไม่ว่าจะเป็นเพราะแก่ตายหรือเพราะทำลายล้างกันจนตายไปข้างหนึ่ง คุณว่าจริงไหม?
(Lilith -- แพรวสุดสัปดาห์)
เรื่องของ Lilith


รู้จัก Liltih ไหมคะ หลายคนคงจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเช่นนั้นก็มาทำความรู้จักกันก่อนดีไหมคะ

เรามาเริ่มกันที่ Adam and Eve ก็แล้วกัน คุณ ๆ คงจะรู้มากบ้างน้อยบ้างว่าคนสองคนนี้เป็นมนุษย์คู่แรกของโลก แต่จริง ๆ แล้วก่อนที่จะมี Eve พระเจ้าได้สร้างมนุษย์ผู้หญิงคนแรกเพื่อให้เป็นเพื่อนกับ Adam โดยใช้วิธีการสร้างแบบเดียวกับที่สร้าง Adam ทุกอย่าง คือสร้าง Lilith ขึ้นจากฝุ่นดิน Lilith จึงเป็นภรรยาคนแรกของ Adam นั่นเอง

แต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่ค่อยราบรื่นนัก เพราะทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ตลอดเวลา ที่มันส์มากก็คือคุณ Adam เธอพยายามจะมี sex กับ Lilith ด้วยท่า missionary position (ท่ามาตรฐาน หญิงล่าง ชายบนไง) ปรากฏว่า Lilith ไม่ชอบก็เลยขัดขืน และบอกกับ Adam ว่า “ฉันไม่ยอมอยู่ ‘ข้างล่าง’ หรอกนะ ทำไมฉันจะต้องอยู่ ‘ข้างล่าง’ ด้วย ก็เราถูกสร้างมาจากดินเหมือน ๆ กันก็ต้องเท่ากันซิ ฉันไม่ยอมให้เธอเหยียดหยามฉันแบบนั้นหรอก” Adam ซึ่งคงจะหน้ามืดเต็มทีก็เลยพยายามใช้กำลังบังคับ ทำให้ Lilith โกรธจัดและใช้ไม้ตายด้วยการเอ่ยนามของพระเจ้าซึ่งไม่มีใครรู้ (และคนที่สนใจเรื่องราวของ Lilith ก็ไม่รู้ว่าเธอรู้ชื่อของพระเจ้าได้อย่างไร) แล้วก็บินหนีไป

หลังจากหายงง Adam ก็ทำในสิ่งที่ลูกชายของคนมีอำนาจและอิทธิพลพึงจะกระทำคือฟ้องพ่อ Adam บอกกับพระเจ้าว่า “ผู้หญิงที่ท่านสร้างให้ได้หนีฉันไปเสียแล้ว” (Adam คงไม่เรียกตัวเองว่าผมหรือข้าพเจ้าหรอกนะ และคงจะไม่เรียกตัวเองว่าเกล้ากระหม่อมหรืออะไรทำนองนั้นด้วย ลิเกแย่เลย ว้า! เล่าลำบากจัง) ด้วยความรักและสงสารลูกชาย พระเจ้าจึงสั่งให้ทูตสวรรค์ 3 องค์ไปตามจับ Lilith กลับมา พร้อมกับสาปว่าถ้าเธอไม่ยอมกลับมาอยู่กับ Adam ลูก ๆ ของเธอจะต้องตายไปวันละ 100 ตน (เป็น “ตน” เพราะว่ากันว่าลูก ๆ ของ Lilith เป็น “ปีศาจ” ทั้งนั้น)

สามทูตสวรรค์ตาม Lilith จนเจอที่ทะเลแดงซึ่งเป็นที่รวมของบรรดาปีศาจตัณหาจัดจำนวนมาก ขณะที่ Lilith กำลังบริหารเสน่ห์กับปีศาจเหล่านั้นอย่างเมามัน และก็ให้กำเนิดลูก ๆ ปีศาจวันละหลายร้อย ทูตสวรรค์บอก Lilith ถึงคำสั่งและคำสาปของพระเจ้าและสั่งให้เธอกลับไปหา Adam พวกเราคงจะพอเดาได้ว่า Lilith ต้องไม่ยอมกลับอย่างแน่นอน แถมยังต่อรองกับทูตสวรรค์จนทั้งสามต้องล่าถอยกลับไป

แล้วเกิดอะไรขึ้น Lilith ก็กลายเป็นปีศาจไปตามระเบียบ (คนที่ชอบดูหนังผีอาจจะได้เห็นเธอในหนังอยู่บ้าง ในรูปของปีศาจสาวสวยตัณหาจัดที่ชอบยั่วยวนผู้ชาย) ส่วนพระเจ้าก็ต้องสร้าง “ผู้หญิง” อีกคนหนึ่งให้ Adam คราวนี้ใช้วิธีการใหม่เพื่อป้องกันอาการแข็งข้อที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ด้วยการสร้าง Eve จากกระดูกซี่โครงของ Adam เอง Eve ดูจะยอมรับในความเป็นช้างเท้าหลังที่ด้อยกว่าผู้ชายของเธอ แต่เธอก็ทำให้มนุษยชาติต้องตกทุกข์ได้ยากด้วยความซื่อบวกบื้อของเธอเมื่อเธอทนความเย้ายวนของมารที่ปรากฏในรูปของงูที่ชี้ชวนให้เธอกินผลไม้ต้องห้าม แถมยังไปชวนให้ Adam กินด้วยอีกต่างหาก ก็เลยต้องตกสวรรค์กลายเป็นคนธรรมดาที่เต็มไปด้วยทุกข์ยากอย่างที่เป็นกันอยู่นี่ไง

จากเรื่องราวของ Lilith พวกเราคงพอจะเห็นความไม่ธรรมดาของเธอนะ ใคร ๆ อาจจะเห็นเธอเป็นปีศาจที่ไม่ยอมรับในความต่ำต้อยหรือความเป็นช้างเท้าหลังของผู้หญิง Lilith มองว่าเธอออกจะเหนือกว่าผู้ชายคือ Adam และไม่ยอมตามอำนาจของพระเจ้าเสียด้วย เธอหนีจากสวรรค์และคงความเป็นอมตะไว้ ในขณะที่ Adam และ Eve ซึ่งดูจะอยู่ในร่องในรอยของผู้หญิงที่แสนดีต้องโทษทัณฑ์ตกสวรรค์ไปในที่สุด

คุณ ๆ คนอ่านอยากจะเป็น Lilith หรือเป็น Eve หลายคนคงอยากจะเป็น Eve เพราะดูจะถูกต้องดีงามในความสัมพันธ์ที่มั่นคง โดยมีผู้ชายเป็นผู้นำอะไรทำนองนั้น ก็ผู้หญิงควรจะเป็นกุลสตรีที่ไม่มั่วในเรื่องเพศหรือ “แรด” จนเกินงามไม่ใช่หรือ? ใคร ๆ ก็บอกเราว่าผู้หญิงที่ผู้ชายปรารถนาต้องเป็นคล้าย ๆ อย่างนี้ คืออยู่ในร่องในรอยเหมาะที่จะเป็นเมียและแม่ ไม่กล้าหาญชาญชัยและช่ำชองในเรื่องเพศ หรือเก่งกาจในเรื่องอื่น ๆ จนผู้ชายกลัว พูดง่าย ๆ ก็คือต้องเป็นเหมือนนางเอกในละครทีวีหลาย ๆ เรื่องนั่นแหละ

ผู้หญิงหลายคนที่พยายามจะเป็น Eve และรักษากติกาในเรื่องความสัมพันธ์กับผู้ชายอย่างเคร่งครัด มักจะกลุ้มอกกลุ้มใจกับความพยายามจะเป็นคนดี และพากันสงสัยอยู่เงียบ ๆ ว่าเป็นคนดีนี่ก็ลำบากจังนะ

ผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนก็เกิดมาเพื่อจะเป็น Lilith ที่รักความเป็นอิสระ หรือมีความเป็น Lilith ซุกซ่อนอยู่ในตัวมากบ้างน้อยบ้าง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของแต่ละคนว่าจะแสดงความเป็น Lilith ออกมามากน้อยแค่ไหน ส่วนใหญ่มักจะท้อถอยเมื่อต้องเจอกับการประณามทั้งซึ่งหน้าและลับหลังอย่างเบา ๆ ว่า “แรด” หรือหนักหน่วงว่าเป็น “ด-กทอง” ขึ้นอยู่กับระดับความออกนอกร่องรอยของแต่ละคน

ตลอดชีวิตของความเป็นผู้หญิงจึงมีแต่การเลือกในแทบจะทุกแง่มุมของชีวิตว่าจะเป็น Lilith หรือเป็น Eve จะรักษาความถูกต้องซึ่งแปลว่าต้องไม่ตามใจตัวเองนักหรือแสวงหาความพึงพอใจอย่างที่ตนต้องการอย่างเต็มที่

ทั้งหมดนี้เริ่มตั้งแต่รูปร่างหน้าตาเลยนะ อย่าเชื่อเป็นอันขาดถ้าใคร ๆ จะบอกว่าเรื่องของความสวยงามหรือความหล่อเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่จริงเรื่องพวกนี้ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่งของเรา ปัญหาของผู้หญิงส่วนใหญ่ก็คือความสวยงามหรือความดูดีมีทั้งที่เป็นแบบ Lilith และแบบ Eve ให้เลือก ผู้ชายบางคนบอกว่าสวยแบบ Eve นั่นมีไว้ให้เลือกเป็นเมีย ส่วนแบบ Lilith เอาไว้เป็นแฟน (ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่า Lilith จะเออออด้วย แต่ Lilith เป็นฝ่ายเลือกว่าจะทำอย่างไร กับใคร ซึ่งออกจะน่ากลัวไม่น้อยสำหรับผู้ชาย)

เป็นเมียกับเป็นแฟนไม่เหมือนกันนะ เป็นเมียอาจจะได้รับการยกย่องปนเบื่อหน่ายจากสามี แต่เป็นแฟนนั้นหมายถึงความสนุกสนานวาบหวามทั้งหลายที่ดูจะไม่ยั่งยืนถาวร หรือออกจะเล่น ๆ เสียมากกว่า ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เมื่อเป็นแฟนก็อยากจะขยับไปเป็นเมีย และเมื่อได้เลื่อนฐานะเป็นเมีย ก็โหยหาความบันเทิงและความใส่ใจเมื่อครั้งยังเป็นแฟน

คนที่พยายามจะเป็นแบบ Eve หรือลูกสาวที่ดีของ Eve มักจะตั้งมั่นอยู่ในฐานที่ตั้ง รอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มและเลือก หลายคนไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มเมื่อเจอคนที่น่าสนใจเพราะกลัวจะดูไม่งาม (เหมือน Lilith) และเชื่อว่าผู้ชายกลัวผู้หญิงที่กล้าหาญชาญชัยแบบนั้นด้วย ความไม่กล้านี้ทำให้ผู้หญิงแบบ Eve ต้องรับประทานแห้วเพราะไม่ได้คนที่อยากได้หรือไปกันได้ดี แต่ไปได้คนที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องนักแต่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนตามกติกา กลายเป็นโศกนาฏกรรมเล็ก ๆ จำนวนมากมายในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ส่วนพวกลูกสาว Lilith ก็มีแนวโน้มจะ “แห้ว” เหมือนกัน เพราะผู้ชายที่ไม่ค่อยฉลาดและขี้กลัว มักจะหวาดหวั่นเมื่อเจอกับการรุกของพวกเธอ ว้า…ไม่ว่าจะยังไงก็แห้ว แล้วจะทำอย่างไรดี

ลูกสาวของ Eve พากันเชื่อว่าความสุขหรือความสมบูรณ์ของชีวิตจะเกิดขึ้นเมื่อเธอมีความสัมพันธ์อันถาวรมั่นคงกับผู้ชาย การมองหาและรักษาแฟนหรือสามีเอาไว้เป็นของตนจึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมาก ถ้าเวลาเนิ่นนานเข้าสู่ช่วง “รถด่วนขบวนสุดท้าย” แล้วยังหาสามีไม่ได้ บรรดาลูกสาวของ Eve จะยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป การจะรักษาความสัมพันธ์กับผู้ชายให้กลายเป็น “ตัวจริง” หรือ “ของจริง” ได้ หมายถึงการยอมตามหรือเอาอกเอาใจผู้ชาย ที่ว่ากันว่าเป็นเสน่ห์ (มารยา) ของผู้หญิงที่ทุกคนต้องเรียนรู้ ความพยายามและลงทุนทางกายทางใจอย่างมหาศาลนี้ทำให้น่าสงสัยนะว่า ในที่สุดแล้วการมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับผู้ชายในชีวิตเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้หญิงเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันแน่

ส่วนสาว ๆ ประเภท Lilith ที่หลายคนบอกว่ามีอยู่ไม่มากนัก ก็ไม่ค่อยจะอยากอยู่ในความสัมพันธ์ที่มั่นคงสักเท่าไร ตามคำพังเพยที่ว่า “มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ” นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ว่าบรรดา Lilith ยุคใหม่จะไม่สนใจเรื่องความรักความสัมพันธ์นะ พวกเธอเหล่านี้อยากจะกำหนดรูปแบบของความสัมพันธ์พวกนี้เอง เช่นเดียวกับที่บรรดาลูกชายของ Adam ทำในความสัมพันธ์กับผู้หญิงมานานแสนนานแล้ว การไม่ยึดติดกับใครนี้ ทำให้เธอเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นพวก free sex (ทั้งที่ไม่มี sex แบบไหนในโลกนี้ที่ฟรีหรอก ทุกอย่างก็มีราคาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนั้น) ที่น่าเกลียดน่ากลัวและผู้ชายไม่ควรจะเอามาเป็นเมียอะไรทำนองนั้น
จะว่าไปแล้วทั้ง Eve และ Lilith ต่างก็มีปัญหากันไปคนละอย่าง แต่ผู้หญิงมักจะถูกบีบบังคับโดยไม้แข็งและไม้อ่อนให้เป็น Eve กันแทบทุกคน

เราฟังเสียงแบบ Eve กันมามากแล้ว ลองมาฟังเสียงของ Lilith กันบ้างดีไหม?
(Lilith -- แพรวสุดสัปดาห์)

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

นางเอกไม่สวย นางร้ายไม่โหด


คุณคิดว่าตัวเองชอบ ‘นางเอก’ หรือ ‘นางร้าย’ คะ?

บางอาจจะสงสัยว่ามีคนที่ชื่นชมนางร้ายด้วยหรือ เพราะน่าจะมีแต่คนรักนางเอกกันทั้งนั้น แต่สาวน้อยสาวมากหลายคนบอกว่าไม่ค่อยชอบนางเอกกันนักหรอก เพราะการเป็นนางเอกเป็นอะไรที่ทั้งไม่สนุก ทั้งเก็บกด แถมยังมีแนวโน้มจะสวยอย่างจืด ๆ โล้น ๆ (เหมือนฝาบ้านทาสีพาสเทล) ไม่มีรสชาด และไม่ได้แทะโลมพระเอกที่พักนี้พากันหน้าใสไร้เดียงสาอย่างน่าหมั่นไส้

ถ้าดูแนวโน้มจากละครหลังข่าวตามทีวีช่องต่าง ๆ แล้ว นางเอกสวยสู้นางร้ายและนางรองไม่ค่อยได้ ทำให้คนดูสับสนว่าใครกันแน่ที่เป็นนางเอก หรือไม่ก็หลงใหลนางรองนางร้ายไปเลย เลยดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นช่วงขาลงบรรดาของนางเอกทั้งหลายและนางร้ายกำลังมาแรง

บรรดาคนอินเทรนด์ทั้งหลายที่กรี๊ดงานเขียนประเภทไลฟสไตล์และมุมมองนอกกรอบที่ฮิตกันสุด ๆ ก็คงเห็นการนำเสนอวิถีแบบนางร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งตัว ความรักความสัมพันธ์ หรือเซ็กส์

แนวประมาณนี้อ่านแล้วโดนใจสาวน้อยสาวมากน่าดูเลยละ เพราะความที่นางร้ายหลายสไตล์พวกนี้ไม่ปฏิเสธความต้องการทางกายและยอมรับในแง่มุมความเป็นมนุษย์ ที่ไม่จำเป็นต้องปกปิด เก็บกดหรือระมัดระวังจนชีวิตไร้ความสนุกสนานและสีสรร

เทรนด์นางร้ายแบบนี้ชนกับแนวนางเอกที่เน้นความเป็นกุลสตรีที่ทุ่มเทกับการทำหน้าที่แบบผู้หญิง ๆ (แฟน กิ๊ก เมีย แม่) และความไร้เดียงสาในเรื่องเพศ บังเอิญว่าพวกกุลสตรีที่ต้องรักนวลเขามีแนวร่วมในภาครัฐอยู่เยอะก็เลยทำให้เสียงดังกว่านางร้าย แต่ไม่ได้หมายความว่ามีคนฟังมากกว่านะ

แม้ว่าเราได้เห็นนางร้ายในละครต้องพ่ายแพ้ไม่ได้อย่างใจในตอนจบหรือต้องประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ นานา หลายคนก็หลงใหลวิถีแบบนางร้ายอยู่ดี

ดูเหมือนนางเอกจะไม่ได้ผูกขาดความน่าสนใจหรือดึงดูดใจ แต่ถูกนางร้ายวิ่งแซงไปไกลทีเดียว นางร้ายออกมายืนเบียดนางเอกอย่างสง่างามในหลายที่ อย่างเช่นเทรนด์เสื้อผ้าหน้าผมที่นำเสนอตามแมกกาซีนก็มีทั้งลุ้คแบบนางร้าย-นางเอก ให้ได้เลือกดูเลือกแต่งกันตามความชอบ โดยนางร้ายไม่ต้องไปแอบซ่อนอยู่ตามหนังสือโป๊ตลาดล่างเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

นางร้ายในจอและนอกจอคนแล้วคนเล่าออกมาปรากฏโฉมหรือเล่าเรื่องราวผ่านหน้าหนังสือและจอทีวี ดึงดูดใจและกลายเป็นแรงบันดาลใจของหลาย ๆ คนในการเลือกหรือการเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างที่นางเอกหลายคนไม่สามารถทำได้

แล้วทำไมแรงดึงดูดของนางเอกจึงลดลงและถูกนางร้ายแซงไปได้เช่นนี้

เป็นไปได้หรือไม่ว่าบรรดานางเอกแบบไทย ๆ ที่ดูเหมือนจะมีความหลากหลายในรูปแบบและลีลามากขึ้น ตั้งแต่แนวคิคุไปถึงสาวมั่น-กร้านชีวิต เป็นอะไรที่ไม่ซับซ้อนและถูกจำกัดอยู่โดยกรอบกติกาแบบนางเอกอยู่มาก ทำให้โลกของนางเอกดูแคบ วนเวียนอยู่กับแง่มุมในบ้านและความสัมพันธ์ส่วนตัว

ความที่นางเอกต้องเป็นกุลสตรีที่ดีงาม เลยทำให้ทางเลือกในชีวิตค่อนข้างจะจำกัดหรือคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นางเอกส่วนใหญ่ยอมทิ้งแง่มุมและทางเลือกอื่น ๆ ในชีวิต ยอมทนทุกข์เพื่อจะทำตามสิ่งที่กรอบของหญิงดีบอกว่าถูกต้องดีงาม และต้องเสียสละเพื่อคนอื่นมากกว่าตนเอง

อะไรประมาณนี้ดูจะไปกันไม่ค่อยได้กับวิถีชีวิตที่ซับซ้อนขึ้นของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในเวลาที่สาวน้อยสาวมากต่างก็มีแง่มุมอื่น ๆ ในชีวิตที่นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ส่วนตัวและเรื่องในบ้าน มีทางเลือกมากขึ้น มีสตางค์ที่จะทำอะไรต่ออะไรให้ตัวเองมากขึ้น มาตรฐานความเป็นนางเอกกลายเป็นอะไรที่แคบเกินไปและไม่โดนใจคนที่มีโลกนอกบ้านให้ได้สำรวจและค้นหา

สาวน้อยสาวมากทั้งหลายเห็นว่าการแต่งงานและ/หรือการมีลูกเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสูงสุดของชีวิต การจะลงฟาดฟันแย่งผู้ชายเป็นเกมหนึ่งในอีกหลาย ๆ เกมที่หลายคนบอกว่ายินดีเล่นแต่พอประมาณ และขอเลือกทำอย่างอื่นในชีวิตบ้างก็ได้ และถ้าจะต่อสู้ในศึกแย่งผัวก็ขอใช้อาวุธทุกรูปแบบมากกว่าจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่แสดงอารมณ์ให้ผู้ชายได้เห็นความดีเอาเองแบบนางเอกทั้งหลาย

ผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนอยากจะทำโน้นทำนี่นอกบ้านนอกเหนือไปจากการสละตนเองเป็นทาสของผัวและลูกแต่เพียงอย่างเดียว

เพราะอย่างนี้นางเอกจึงดูสวยน้อยลง ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์แต่เพราะความเป็นนางเอกกลายเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจเท่าไรนัก

ในขณะที่นางร้ายหลายรูปแบบที่ดูเหมือนโหดและไม่น่ารัก ทำให้เราเห็นว่าผู้หญิงที่รักผู้ชายมาก ๆ และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเป็นอย่างไร ความร้ายของพวกเธอมาจากความรักนั่นเอง และผู้หญิงตัวเป็น ๆ หลายคนก็อาจจะร้ายได้มากกว่านางร้ายเสียอีกเมื่อต้องสู้เพื่อชายอันเป็นที่รัก

นางร้ายบางคนมีภาพที่ใกล้เคียงกับผู้หญิงหลายกลุ่มในเวลานี้ คือเรียนหนังสือมากขึ้น มีงานมีการทำ และมีโลกนอกบ้าน

จึงไม่น่าประหลาดใจที่นางร้ายดูจะไม่ค่อยโหดหรือร้ายในสายตาของหลาย ๆ คน แต่เป็นวิถีที่ผู้หญิงบางกลุ่มเชื่อมโยงกับตัวได้มากกว่าความเป็นนางเอกเสียอีก

การที่คนรำคาญนางเอกและหลงรักนางร้ายจึงเป็นอะไรที่เข้าใจได้ และคงจะได้เห็นการเพลี่ยงพล้ำเสียทีของนางเอก ในชณะที่นางร้ายเบียดเข้าครองใจพวกเราได้มากขึ้นทุกที

(ดา จันทรา -- Glitz and Glam)

ครีมผัวหลง

ชื่อตอนของ Breathing Space คราวนี้ทำเอาทีมเซ็นเซอร์ส่วนตัวของคุณดาโวยวายกันยกใหญ่ว่าชื่ออย่างนี้ไม่เข้ากับแม็กกาซีนที่มีชาติตระกูลและคลาสซี่เช่นนี้ แต่น่าจะไปอยู่ในนิตยสารประเภท ‘ผัวเมีย อุ้มสม’ เสียมากกว่า ทำเอาคุณดาเสียศูนย์ว่า ‘ครีมผัวหลง’ ทำให้เขาคิดถึงอะไรกันหว่า

ไอเดียเรื่องครีมนี้มาจากโฆษณาที่เห็นแว็บ ๆ ในทีวีค่ะ เขาบอกว่าใช้ทาหน้าไม่กี่วันสามีจะเปลี่ยนไป จากที่ไม่ใยดีจะกลับมารักใคร่ซู่ซ่าเหมียนเดิม แมซเซจหลักที่ว่าครีมและอะไรอย่างอื่นที่เสริมความงามจะทำให้ผู้หญิงสวยขึ้นและดึงดูดความสนใจของผู้ชายให้มาหลงรัก เป็นอะไรที่เราได้ยินในโฆษณาหลายต่อหลายอย่าง


ครีมอย่างนี้น่าจะเวิร์คถ้าบรรดาสามีและคู่รักแหนงหน่ายไปเพราะคุณเมียสวยน้อยลง จนต้องอาศัยตัวช่วยให้สวยเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำให้คุณสามีปิ๊ง หรือถ้าจะให้ดีต้องทำให้สวยขึ้นกว่าเดิมไปอีก

แต่คุณดาอยากจะขอฟันธงว่าครีมและเครื่องสำอางที่โฆษณาว่ามีสรรพคุณว่าเสริมเสน่ห์ช่วยให้หาผัวได้หรือทำให้ผัวหลงนี่อาจจะไม่เวิร์คหรอกนะ แม้ว่าบางอย่างอาจจะทำให้คุณผู้หญิงสวยขึ้นได้จริง ๆ ก็ตาม

ที่ขัดคอหรือดับฝันของคนที่กำลังพึ่งเครื่องสำอางประเภทผัวหลงอย่างนี้ ก็เพราะผู้รู้หรือผู้อาวุโสที่เห็นโลกมามากได้พร่ำบอกพวกเราผ่านหน้ากระดาษแม็กกาซีนหรือหน้าจอทีวีว่า ความรักความสัมพันธ์แบบโรแมนติคที่เราไขว่คว้ากันอยู่นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นอย่างหนึ่งขององค์ประกอบที่ว่านี้ เช่นเดียวกับนิสัยใจคอที่ทำให้คู่รักเป็นคู่คิดและเพื่อนสนิทไปด้วยพร้อมกัน

ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือความใหม่สดที่ทำให้เร้าใจและตื่นเต้น จนมีแรงอึดคุยโทรศัพท์กับคนที่กำลังปิ๊งได้เจ็ดแปดชั่วโมงน็อนสต็อปแบบไม่ต้องกินต้องนอน หรือทำให้ใจจะขาดเมื่อไม่ได้เห็นหน้าหรือไม่ได้ยินเสียง แบบที่คนมีความรักหลายคนเขายอมบุกป่าฝ่าดง ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากันได้อย่างไม่ย่อท้อเหมือนที่เราเห็นในหนังรักละครโรแมนติคหลายต่อหลายเรื่อง (นึกถึงเรื่อง Cold Mountain นะ)

แต่อะไร ๆ ในโลกนี้มันคงความใหม่ตลอดไปไม่ได้เสียด้วย ไม่ว่าจะพยายามทะนุถนอมขนาดไหน วันหนึ่งของใหม่และคนใหม่ ๆ ก็กลายสภาพเป็นอะไรที่เราคุ้นเคย จนไม่มีความตื่นเต้นหลงเหลืออยู่อีกต่อไปหรืออาจจะหนักหนาถึงขั้นเบื่อหน่ายไปเลย
ดูเหมือนว่าการหมดความตื่นเต้นต่างหากที่ทำให้คู่รักและสามีภรรยามากมายเลือกที่จะต่างคนต่างไป ยิ่งในเวลาที่ฝ่ายผู้หญิงดูแลตัวเองได้แบบไม่ต้องพึ่งคนอื่นให้หาเลี้ยง การโบกมือบ๊ายบายความสัมพันธ์ที่ไม่เวิร์คไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรือถูกจำกัดด้วยความอยู่รอดเหมือนกับที่เคยเป็นมาอีกต่อไป

คู่ที่ยังอยู่กันได้อย่างเป็นสุขพอควรก็มักจะต้องแทนที่ความรักแบบวูบวาบด้วยอะไรอย่างอื่น เช่นความเป็นเพื่อนคู่คิดหรือหุ้นส่วนชีวิตที่ต้องอาศัยความเข้าใจและเอื้ออาทรอย่างเต็มที่ หรือบางคู่อยู่กันยืดเพราะเหตุผลทางสังคมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการอยู่เพื่อลูก ไม่อยากให้ลูกเจอกับสภาพครอบครัวแตกแยก อาการทนอยู่กับคู่ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นี้ทำให้เกิดสภาพที่การแต่งงานยังอยู่แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไปมีความรักใหม่ ๆ อีกหลายชุดกับคนอื่นนอกการแต่งงานนั้น

บังเอิญว่ากรอบกติกาหลักของสังคมบอกว่าการไปมีคู่ซ้อนหรือมีกิ๊กเป็นอะไรที่ไม่ดีอย่างสุด ๆ แต่โอเคกับการไปหาเศษหาเลยนอกการแต่งงานของผู้ชาย สภาพอย่างนี้ที่ทำให้คุณภรรยาทั้งหลายต้องหน้าชื่นอกตรมเมื่อรักจืดจางเมื่อเผชิญกับอาการแหนงหน่ายของสามี บางรายหันไปพึ่งครีมผัวหลงกันเป็นการใหญ่ เพราะคิดว่าผัวไม่สนใจเนื่องมาจากตัวเองสวยน้อยลงหรือแก่ขึ้นกว่าเมื่อเริ่มปิ๊งกันใหม่ ๆ

ความเข้าใจประมาณนี้ทำให้เมีย (หลวง) หลายคนพยายามจะเสริมความงามทั้งหน้าตาและร่างกายกันอย่างสุด ๆ เพื่อให้สามีกลับมารักเหมือนเดิม

เมียบางคนลงทุนสาดน้ำกรดเมียน้อยหรือกิ๊กของสามี เพราะเชื่อว่าเมื่อเมียน้อยหน้าตาอัปลักษณ์เพราะฤทธิ์น้ำกรดแล้ว ผัวก็จะไม่รักไม่สนใจและทิ้งเมียน้อยเพื่อกลับมาตายรังในที่สุด ความเชื่อแบบนี้ทำให้เกิดเรื่องเศร้าเพราะคุณผัวอาจจะทิ้งเมียน้อยหลังจากเมียหลวงตามราวีขนาดนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะกลับมารักเมียหลวงเหมือนที่เคยเป็น ดีไม่ดีจะพาลเตลิดเปิดเปิงไปสร้างสัมพันธ์รักใหม่ ๆ ต่อไปอีก

ที่ว่ามายืดยาวนี้ก็เพื่อจะชวนให้ตั้งคำถามว่าที่ความรักจืดจางนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเพราะความใหม่และตื่นเต้นซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสำคัญได้หมดไป และถูกแทนที่ด้วยความคุ้นเคยที่บางที่แยกแทบไม่ออกจากความซ้ำซากจำเจ โดยไม่ได้มีการพัฒนาความเป็นเพื่อนร่วมชีวิตเข้ามาทดแทน ครีมประเภทไหน ๆ ก็คงจะทำให้ผัวกลับมาหลงได้ยาก

แต่ถ้าไปหาหรือเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ก็ไม่แน่ อาจจะมีความหวังอยู่บ้างและได้หนุกหนานกว่าการพยายามอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตายแล้วเป็นไหน ๆ และไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแก่เกินไปหรือสวยน้อยไปเพราะผัวหรือแฟนคนปัจจุบันมองไม่เห็นความงามและคุณค่า

เพราะผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมีคุณสมบัติแบบกระดังงากลีบหนาหอมแรงที่ทำให้หนุ่มน้อยหลงใหลได้ไม่แพ้สาวน้อยหน้าใสทั้งหลาย เรื่องแก่ไม่แก่อาจจะไม่สำคัญเท่าความตื่นเต้นและรสชาติแปลกใหม่

คุณดาไม่ได้บอกให้ใครเลิกหรือทนกับความสัมพันธ์ที่หยุดนิ่งหมดความตื่นเต้นที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสำคัญ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไรในชีวิตต่างหาก

บางทีความคาดหวังเกี่ยวกับชีวิตคู่และการอยู่ร่วมกันของเราเป็นไปได้ยาก ฐานของความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการเห็นกันและกันที่หน้าตา กระตุ้นเร้าด้วยความตื่นเต้นแปลกใหม่ ไม่ค่อยเอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่องยาวนานแบบถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรได้ แต่จะเวิร์คถ้ามีการเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เป็นระยะเพื่อจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยความสดใหม่และความตื่นเต้นในความใหม่เสียมากกว่า

พูดอย่างนี้คุณดาอาจจะพลอยโดนด่าจากนักจัดระเบียบสังคมไปได้ แต่ลองคิดดูกันเองนะว่าไอ้ที่คาดหวังจากชีวิตคู่และความสัมพันธ์มันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แล้วคราวหน้าจะชวนให้คิดต่อนะ

(ดา จันทรา -- Glitz and Glam)



แข่งสวย

การแข่งกันเป็นคนสวยถึงสวยที่สุดเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่อง สืบทอดจากคนรุ่นหนึ่งต่อไปอีกรุ่นหนึ่ง ตั้งแต่ซินเดอเรลลาและโสนน้อยเรือนงามมาจนถึงซุปเปอร์โมเดลและดอกไม้เหล็กและดอกอะไรต่อมิอะไรอย่างอื่น ๆ จนถึงศตวรรษที่ 21 ที่มนุษย์คิดการใหญ่อย่างส่งคนไปดาวอังคารหรือสุดขอบสุริยจักรวาลที่มีดาวเคราะห์แคระพลูโตปิดท้าย ผู้หญิงก็ยังแข่งสวยกันไม่เลิก แถมผู้ชายหลายต่อหลายคนยังกระโดดเข้าร่วมแจมด้วยอีกต่างหาก
แต่การแข่งขันไม่รู้จบนี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่มองว่าตนเองมีความคิดความอ่านก้าวหน้าและแหลมคมทั้งหลาย ที่ต่างก็มองว่าการฟาดฟันเพื่อจะแย่งชิงกันเป็นคนสวยที่สุดเป็นอะไรที่น้ำเน่าอย่างสุด ๆ และน่าจะมีอยู่แต่ในละครหลังข่าวช่องหลายสีเท่านั้น

ก็เลยทำให้ผู้หญิงสวยหรือคิดว่าตัวเองสวยเกิดอาการขัดเขินอ้ำอึ้ง เพราะไม่อยากจะแพล็มให้คนอื่นรู้เห็นว่าตัวเดื๊ยนเองก็แข่งสวยอยู่ทุกเวลานาที เพราะถ้าใครรู้เข้าคนสวยที่ชอบแข่งสวยอาจถูกปลดออกจากฝูงนางเอกเนื่องจากขาดคุณสมบัติไร้อารมณ์แบบนางเอก หรือไม่ก็กลายเป็นไม่เก๋เพราะมีกลิ่นอายน้ำเน่าคละคลุ้ง

เมื่อเดินเข้าไปในงานเลี้ยง ห้องประชุม ห้องเรียน หรือสถานที่ประเภทต่าง ๆ ที่คุณโผล่ไปปรากฏตัว คุณเคยสอดส่ายสายตาแสกนไปรอบ ๆ เพี่อจะประเมินระดับความสวยของคนอื่น ๆ และเพื่อจะดูว่าตัวคุณอยู่ประมาณไหนของระดับความสวยไหมคะ

บางคนในบางที่อาจจะเคยรู้สึกถึงความปลาบปลื้มที่พุ่งปรี๊ดเมื่อตระหนักว่าตัวเดื๊ยนเองค่ะที่งามเลิศในที่นั้น ใครต่อใครพากันแอบมองหรือมองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อจะชื่นชมในความงามบางคนถึงกับชมเชยอย่างออกมาเลยทีเดียว ใครต่อใครก็ห้อมล้อมเอาใจ ในขณะที่ผู้หญิงคนอื่น ๆ ส่งสายตาไม่เป็นมิตรและพยามยามปิดบังความอิจฉาอย่างยากเย็น

หลายคนรู้สึกประมาณนี้บ่อยจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนเคยแต่เป็นฝ่ายตาร้อนเพราะพ่ายแพ้ในการแข่งสวยหลายครั้งหลายหน แบบว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนสวยกว่าและมักจะถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการเอาใจใส่ เจออย่างนี้บ่อย ๆ สุดยอดเซ็งเลยละคะ

การแข่งสวยไม่ได้ทำให้เราสุขหรือเซ็งแต่เพียงอย่างเดียวนะคะ การแพ้ชนะในการแข่งสวยนี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เกี่ยวกับว่าใครจะเป็นพระหรือเป็นมารด้วย ชัยชนะอันเนื่องมาจากการถูกมองว่าสวยมาพร้อมกับสิทธิประโยชน์มากมายหลายเรื่อง เช่นการได้ลัดคิวในการเข้ารับบริการต่าง ๆ การเอาอกเอาใจจากคนนั้นคนนี้ที่พร้อมจะให้บริการเป็นพิเศษหรือไห้อภิสิทธิ์ต่าง ๆ ไปจนถึงการให้อภัยเมื่อทำผิด เช่นทำผิดกฎจราจรก็ไม่โดนใบสั่ง อะไรประมาณนี้เป็นเรื่องที่คนไม่สวยไม่เข้าใจเพราะไม่มีประสบการณ์

มีคนบอกว่าคนสวยมักจะได้งานทำง่ายกว่าและได้เงินเดือนมากกว่าคนไม่สวยอยู่ 5% ในงานประเภทและตำแหน่งเดียวกัน โดยไม่เกี่ยวกับความสามารถในการทำงาน แบบว่าสวยอย่างเดียวก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ

คนสวยหลายคนบอกว่าความก้าวหน้าในการงานของเธอเป็นเพราะเธอใช้ข้อได้เปรียบเรื่องความสวยของเธอให้เป็นประโยชน์ โปรดอย่าเข้าใจว่าการใช้ความสวยในที่นี้เป็นเรื่องการพลีกายขายเซ็กส์แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยอย่างการโปรยเสน่ห์และความน่าเอ็นดูให้คนอื่นทำโน่นทำนี่ให้ไปจนถึงการยั่วเย้าให้เจ้านายที่ส่วนใหญ่จะเป็นชายใกล้วัยทองได้ชุ่มชื่นใจ และคิดว่าตนเองยังพอจะมีไฟในเรื่องเพศ
คนสวยจึงมักจะเป็นที่โปรดปรานเอ็นดูของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายผู้ชาย ก็ใคร ๆ ก็ชอบมองคนสวย ยกย่องความงาม และมักจะเชื่อว่าคนสวยต้องเป็นคนดี มีความสามารถ และมีอะไรอื่น ๆ ที่เราเห็นว่าดี
ความสวยไม่ใช่เรื่องเล็กไร้สาระอย่างที่คนไม่รู้เรื่องรู้ราวเข้าใจ แต่เป็นอะไรที่มีค่าในสังคม คนที่ดูแคลนการแข่งสวยหลายคนก็ให้ค่าและยกย่องความสวยและคนสวย และเป็นหนึ่งในคนที่เข้าไปห้อมล้อมและให้อภิสิทธิ์คนสวยกับเขาด้วย สรุปได้ว่าการชอบคนสวยนี้ไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ นะ
ผู้หญิงหลายคนบอกว่าชอบดูคนสวยแต่ไม่ชอบคนสวยหรือหมั่นไส้คนสวย เพราะไม่ชอบในอะไรหลายอย่างที่คนสวยได้โดยไม่ต้องลงแรง คนสวยเลยไม่ค่อยมีเพื่อนเป็นผู้หญิงเพราะดูเหมือนผู้หญิงคนอื่นจะกลายเป็นคู่แข่งในสงครามอมตะว่าด้วยการแย่งชิงกันเป็นคนสวยที่สุด
การเป็นผู้แพ้ในการแข่งสวยหมายถึงการถูกมองข้าม เพราะใคร ๆ ก็ไปมองแต่คนสวยกันหมด การถูกมองข้ามทำให้คนที่ถูกจัดว่าไม่สวยรู้สึกไร้ค่าและไม่ได้สิทธิประโยชน์หลายประการของความเป็นคนสวย อะไรประมาณนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตในสังคมที่ให้ค่ากับการถูกมองเห็นของผู้หญิง คนที่ไม่น่ามองหมายถึงความมีค่าน้อยหรือไม่มีค่าเอาเลย
ความรู้สึกว่าถูกมองข้ามเป็นอะไรที่เจ็บปวดและทำให้รู้สึกไม่มีค่าอย่างที่คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะเคยโดนมาแล้วในชีวิต
เพราะอย่างนี้ผู้หญิงหลายคนที่มีคุณสมบัติดีมากมายแต่ไม่สวยเลยไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร หลายคนพยายามชื่นชมผู้หญิงเก่งแต่ก็ดูเหมือนจะสู้กับกระแสการกรี๊ดคนสวยไม่ได้
การแข่งสวยจึงเป็นเรื่องใหญ่และเป็นสงครามยืดเยื้อของผู้หญิง เพราะผลของการต่อสู้ผูกพันอยู่กับอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างที่ตัดสินชีวิตของผู้หญิงที่ถูกดูดเข้าไปสู่เวทีการแข่งสวยอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ
(ดา จันทรา -- Glitz and Glam)
สาวเก๋กับชายไม่โสด


สมาชิกวงเม้าท์ของสาวเก๋วงหนึ่งผลัดกันเล่าถึงชายหนุ่มที่เข้ามาในชีวิตอย่างเมามัน เล่ากันไปมาได้พักหนึ่งก็เกิดอาการอึ้งกันไปเพราะเรื่องของทุกคนเหมือน ๆ กันอย่างไม่น่าเชื่อ ความเหมือนที่ว่าก็คือหนุ่มที่โฉบเข้ามาในชีวิตของพวกเธอต่างก็มีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วทั้งสิ้น และพวกเธอก็เล่นด้วยกับชายที่มีพันธะเหล่านี้เสียด้วย

สาวเก๋วงนี้เธอไม่ธรรมดานะคะ คือนอกจากจะดูดีแล้ว ยังเป็นผู้หญิงเก่ง อายุไม่มากไม่น้อย ตำแหน่งหน้าที่การงานดี รายได้สูง แบบว่าเป็นเครื่องบินเจ็ตให้ผู้ชายหลายคนได้เพียงแหงนหน้ามอง ผู้หญิงสวย+เก่งประเภทนี้ห่างไกลจากโพรไฟว์ของเมียน้อยที่หลายคนยึดถือ แต่กลับยินดีไปมีอะไรต่ออะไรกับชายไม่โสดได้อย่างไร?

หลายคนเชื่อว่าคุณสมบัติของเมียน้อย คือความเอ๊าะ ขาว อึ๋ม เร้าตัณหาผู้ชายสมรรถภาพน้อยทั้งหลาย ว่ากันว่าบรรดาเมียน้อยและว่าที่เมียน้อยมักจะเรียนหนังสือน้อย ฐานะไม่ดี ทำงานที่ไม่มีทางก้าวหน้า ก็เลยอยากรวยทางลัด และพร้อมจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายที่จะทำให้พวกเธอได้เลื่อนฐานะอย่างไม่สนใจว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นสามีของใครหรือไม่ เรียกได้ว่ามีอาการความเป็น ‘น้องแรด’ เต็มตัว

แล้วทำไมสามีของชาวบ้านถึงได้มาหมายตาสาวเก๋เหล่านี้แทนที่จะไปหาบรรดาน้องแรดที่น่าจะสานสัมพันธ์ได้ง่ายกว่า ที่ยุ่งไปกว่านั้นก็คือสาวเก๋จำนวนไม่น้อยยินดีเล่นด้วยกับผัวของคนอื่น ทั้งที่พวกเธอน่าจะหาแฟนที่ดีกว่านี้ได้มาก

อะไรที่มันดูผิดฝาผิดตัวอย่างนี้ทำให้คนที่ได้รับรู้มึนไปตาม ๆ กัน แล้วก็เลยสรุปง่าย ๆ ว่าสาวเก๋เหล่านี้สิ้นคิดหรือคิดไม่เป็นทั้งที่เรียนหนังสือหนังหาไม่น้อย หน้าที่การงานก็ดี และมีทางไปจนไม่น่าจะเลือกกินน้ำใต้ศอกของหญิงอื่น

การที่สาวเก๋จำนวนไม่น้อยสมยอมสานสัมพันธ์ซ้อนกับผู้ชายที่มีเมียแล้ว ทำให้ภาพของเมียน้อยและว่าที่เมียน้อยเปลี่ยนไปมากทีเดียว

พวกเธอบอกว่าความสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ต้องเคลื่อนที่เร็ว หรือเส้นทางการทำงานที่ทำให้การใช้เวลากับคู่รักในความสัมพันธ์ที่จริงจังหรือการแต่งงานเป็นไปได้ยาก ทั้งที่อยากมีอะไรกุ๊กกิ๊กแต่พวกเธอก็ไม่อยากจะรับมือกับความยุ่งยากของการมีความสัมพันธ์

แม้ว่าสาวเก๋หลายคนต้องการจะแต่งงานและมีชีวิตตามแบบแผนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม สาวเก๋อีกหลาย ๆ คนมองรูปแบบชีวิตเช่นนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่เธออาจจะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ หรือเธออาจจะอยากใช้เวลาในชิวิตทำอะไรอย่างอื่นก่อน การมองแบบนี้ทำให้เรื่องที่หลายคนมองว่าสำคัญและไขว่คว้ากลายเป็นปัญหาหรือส่วนเกินของชีวิตสาวเก๋ได้

การคบหากับผู้ชายตัวเปล่าอาจจะไม่เป็นจริงเป็นจังในตอนแรก แล้วก็มักจะเปลี่ยนความคาดหวังเมื่อคบกันไปได้ระยะหนึ่ง เพราะแพทเทิร์นหรือขั้นตอนของชีวิตที่กำหนดว่าจุดหมายปลายทางของความสัมพันธ์ที่เวิร์คคือการแต่งงานหรือการเลื่อนชั้นความสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น เช่นการย้ายมาอยู่ร่วมบ้านร่วมคอนโด
การเลื่อนขั้นความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้คนรอบข้างเริ่มกดดันให้แต่งงานกันเสียที หรือไม่ก็คาดหวังให้ปฏิบัติต่อกันเหมือนคนที่แต่งงานกันแล้ว ทำให้อะไร ๆ มันยุ่งยากไม่หนุกหนานเหมือนตอนเริ่มปิ๊งกันใหม่ ๆ

ความสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องเป็นราว ลงหลักปักฐานแบบนี้ทำให้อะไรที่เวิร์คกลายเป็นไม่เวิร์คไปได้สำหรับสาวเก๋หลายคนที่ต้องการความเป็นอิสระและความคล่องตัวในชีวิต
โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม บรรดาสาวเก๋สบายอกสบายใจที่จะสัมพันธ์กับชายที่มีพันธะแล้วมากกว่า เพราะความที่พวกเขาแต่งงานแล้วทำให้ความคาดหวังและการใช้เวลาจำกัด และมักจะไม่เรียกร้องจากสาวเก๋มากนัก เพราะถ้าไปใช้เวลานัวเนียกับสาวเก๋มากเกินไปก็อาจถูกคุณเมียหลวงที่บ้านฆ่าเอาได้

และความที่มีเมียเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วก็เลยทำให้การเลื่อนขั้นความสัมพันธ์เป็นไปไม่ได้หรือไม่ก็ยากมั่ก ๆ และไม่ยืดยาวเพราะผู้ชายที่มีเมียแล้วมักจะขาดแคลนความกล้าหาญที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์เดิมหรือการแต่งงาน พออะไร ๆ มันเริ่มยุ่งจนไม่คุ้มกับความสนุกตื่นเต้นของการมีกิ๊กเป็นสาวเก๋ ผู้ชายตัวไม่เปล่าพวกนี้ก็มักจะฉิ้งไปด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วแต่สไตล์และกึ๋นของแต่ละคน

อะไรประมาณนี้ที่ไม่เวิร์คสำหรับผู้หญิงอื่น กลายเป็นเวิร์คสุด ๆ สำหรับสาวเก๋ที่มองความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องหลักของชีวิต

การมีอาชีพการงานดี ดูแลตัวเองได้ทำให้สาวเก๋หลายคนไม่เป็นภาระสำหรับชายไม่โสด และไม่เรียกร้องอะไรมาก แบบนี้ก็เลยทำให้สาวโสดยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้นจนแซงหน้าน้องแรดไปได้

ถ้าอะไร ๆ ดูดีราวกับผีเจอโลงเช่นนี้ แล้วทำไมรักซ้อนของสาวเก๋กับหนุ่มไม่โสดบางคู่จึงกลายเป็นเรื่องเป็นราวให้บาดหมางและช้ำใจไปได้

ก็เพราะการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนความต้องการที่ทำให้ความสัมพันธ์ซ้อนนี้ไม่สนองความคาดหวังใหม่นะซิ เช่นสาวเก๋อยากทำให้ความสัมพันธ์ชั่วคราวนี้กลายเป็นเรื่องจริงจังมากขึ้น จนกลายพันธุ์กลายเป็นน้องแรดที่เรียกร้องหรือไม่ก็กรี๊ดไม่เลิกเพื่อจะให้ได้ชายไม่โสดมาเป็นของตนจนไม่น่ารักอย่างที่เคยเป็น

ถ้าความต้องการไม่เปลี่ยน ความสัมพันธ์กับชายไม่โสดก็ตอบสนองอะไรต่ออะไรให้สาวเก๋ได้อย่างที่คนไม่เก๋เข้าใจไม่ได้เลยทีเดียว
(ดา จันทรา)