วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไม่กล้าบอกรัก


ทุกข์ของคนจำนวนไม่น้อยมาจากการตกหลุมรักแต่ไม่กล้าบอกรักด้วยเหตุผลต่าง ๆ กัน น่าสนใจว่าอาการไม่กล้าบอกรักเป็นเพราะอะไร

คนไม่กล้าบอกรักเพราะกลัวว่าเมื่อบอกรักไป คนที่รักจะไม่รักตอบทำให้ต้องเสียใจ และกลัวเลยไปด้วยว่ามิตรภาพที่มีอยู่จะแปรเปลี่ยนไปด้วย

ที่ไม่กล้าบอกรักเป็นอาจเป็นเพราะความไม่ชัดเจนของสัญญาณว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร ทำให้ความเสี่ยงของการบอกรักสูง

“ทวิตรัก” ชวนคุยเรื่อง “เก็บรักไว้ไม่กล้าบอกเธอ” พบว่าคนกลัวความผิดหวังและสูญเสียเช่น กลัวว่าได้แฟนแล้วเสียเพื่อน หรือไม่ได้แฟนแต่ก็เสียเพื่อนอยู่ดี

การบอกรักเปลี่ยนระยะห่างและความคาดหวังระหว่างคน ไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวังเมื่อบอกไป คสพ.กับคนที่เราบอกรักก็จะเปลี่ยนอยู่ดี

@pannavij: ไม่ต้องบอกไม่ได้เหรอ – ไม่บอกก็คงจะได้ถ้าไม่กระวนกระวาย แต่หลายคนเป็นทุกข์เพราะไม่ได้บอกรักเหมือนอยู่ในความไม่ชัดเจน

สองมุมที่น่าสนใจของการไม่กล้าบอกรัก – ไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร กับไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไร
@Mymiinz: บางครั้งไม่กล้าบอกเพราะยังไม่มั่นใจกับใจตัวเอง
@PAREs___:  บางครั้งที่ไม่กล้าบอกอีกฝ่าย เพราะรู้สึกว่าเขาคงไม่ได้คิดเหมือนเราเลยไม่อยากบอกให้คสพใมันเปลี่ยน

คนกลัวผิดหวังเพราะไม่รู้ว่าคนที่รักคิดอย่างไร รู้สึกเหมือนเราไหม แต่เพราะไม่กล้าบอกรักทำให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่ารัก คสพ.เลยไม่เริ่มต้น วนเวียนไปมาน่าเวียนหัว

หลายคนบอกรักไปเพื่อจะได้คำตอบที่ไม่ชัดเจนกลับมา ไม่รู้ว่าเขารับรักหรือปฏิเสธรัก เช่นขอทำความรู้จักกันไปอีกนิด หรือขอเวลาตัดสินใจ เคยเจอแบบนี้ไหม?

น่าคิดว่าคนกลัวผิดหวังเลยยอมทุกข์อยู่กับความไม่รู้ว่าคนที่รักคิดอย่างไร มากกว่าจะเสี่ยงภัยเพื่อให้ชัดเจนว่าเขารักเราบ้างไหม

เป็นไปได้ไหมว่าการอยู่กับความคลุมเครืออาจจะเป็นทุกข์น้อยกว่ารู้แจ้งชัดเจนว่าคนนั้นไม่รักเราสักนิด แถมทำเหมือนเราเป็นเชื้อโรคเมื่อรู้ว่าเรารัก

บางคนพยายามซ่อนรักเก็บรัก แต่ไม่รู้ตัวว่าความรู้สึกฉายส่องทางการกระทำและคำพูดจนคนรอบข้างรู้ได้ บางทีคนที่แอบรักก็รู้โดยไม่ต้องบอกJ

@AkaPae: เก็บไว้ไม่กล้าบอกเธอ แต่ทุกคนรอบข้างรู้กันหมดค่ะ// หลายคนคิดว่าเก็บรักได้มิดชิด โดยไม่รู้ว่าทั้งโลกมองเห็นรักที่มีอยู่ได้ชัดๆ

หลายกรณีฝ่ายถูกรักดูออกว่าคนนี้กำลังหลงรักฉัน แต่ไม่อยากด่วนสรุปเพราะกลัวดูพลาด ต้องมีการยืนยันด้วยคำพูดเพื่อความชัดเจนอยู่ดี

@NalinTe: เพื่อนหนูดูออกว่าหนูกำลังมีความรักอะค่ะ แต่เค้ากลับดูไม่ออกว่าเป็นเค้า -- เขาอาจจะดูออกแต่ไม่อยากบอกว่ารู้หรือถามให้ชัดเจน เพราะเกรงว่าถ้าเข้าใจผิดจะมองหน้ากันไม่สนิท

คนกลัวบอกรักแล้วเสียเพื่อน แต่การบอกรักเพื่อนก็อาจเป็นการทดสอบมิตรภาพได้เช่นกัน ว่าจะก้าวข้ามความหวั่นไหวและแรงกดดันของการอยากเปลี่ยนเพื่อนเป็นแฟนได้หรือไม่

@SouJang: กลัวบอกไปแล้วจะเป็นเพื่อนไม่ได้อีกค่ะ ถ้าเกิดเค้าไม่รักตอบ -- ความเป็นเพื่อนอาจถูกกระทบในตอนแรก ถ้ามิตรภาพแข็งแรงมาก ๆ ก็อาจฟื้นใหม่ได้นะคะ

@Jingjai: หนูว่าบางครั้งการแอบรักก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของความรัก -- บางคนเป็นสุขเพราะแอบรัก จินตนาการได้เต็มที่ไม่ต้องปวดหัวกับความไม่ลงตัวของความเป็นจริง

ไม่กล้าบอกรักทำให้บางคนกระวนกระวายบางเวลา เพราะความไม่ชัดเจน แต่เมื่อบอกรักไปแล้วสมรักก็ต้องเผชิญกับปัญหาชุดใหม่ของการปรับรับคสพ.

@TORBCC: ถ้าต่างฝ่ายต่างลังเลเพราะไม่แน่ใจ สุดท้ายก็แห้้วทั้งคู่ใช่มั้ยครับ -- การไม่กล้าบอกรัก อ้ำอึ้งไปมาทั้งสองฝ่ายอาจจะเป็นสาเหตุหลักของการแห้วในโลกนี้เลยทีเดียว

@pannavij: ด้วยตรรกะเดียวกัน เราจะบอกยกเลิกคนที่เราบอกรักไปได้ไหม -- การบอกเลิกก็ยากมากหรืออาจจะยากกว่าบอกรักอีกนะ หลายคนเลยไม่กล้าบอกเลิก

การบอกรักและบอกเลิกรักเป็นเรื่องยากด้วยกันทั้งคู่ อย่างแรกมีความเสี่ยงผิดหวังและสูญเสีย อย่างหลังทำร้ายใจคนแม้จะหมดรักแล้ว

อย่าคิดว่าคนอื่นจะดูไม่ออกว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเขา แต่ก็อย่าทึกทักว่าเขาจะดูออกทะลุปรุโปร่งไปหมดโดยไม่ต้องพูดจา ไม่อย่างนั้นจะมีภาษาเอาไว้ทำไม

ความใกล้ชิดสนิทสนมไม่ได้มาพร้อมกับความรักเสมอไป บอกได้เพียงว่าใกล้ชิดกันแต่อาจไม่ได้แปลว่ารัก

เราคิดว่าการบอกรักมีความเสี่ยงต่อการผิดหวังและสูญเสีย แต่การเก็บรักก็มีแง่มุมที่ดี สำหรับคนที่ไม่พร้อมจะดำเนินและรักษาคสพ.ในรูปแบบคนรัก

คนมักเข้าใจว่าคนที่รักรักเราตอบจะทำให้เป็นสุข โดยไม่ตระหนักว่าการถูกรักตอบคือการก้าวไปในทิศทางของคสพ.ที่ต้องประคองและเรียนรู้

ความรักเป็นเรื่องของการเลือก – เลือกว่าจะทำอย่างไรกับความรู้สึก และเลือกว่าจะอยู่กับปัญหาชุดไหนในชีวิต

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

น้ำตาลูกผู้หญิง ตอน ‘เหยื่อการเมือง’

เมื่อประเด็นที่กลายเป็น Talk of the Town เกี่ยวกับสัมพันธ์ลับเชิงชู้สาวในพรรคไทยรักไทย ถูกนำเสนอโดยสื่อไทย บรรดาสาวก ซ้อเจ็ดหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนซ้อเธอรีเทิร์นจากการพักร้อน เพราะวิธีการเล่าเรื่องคาว ๆ ลับ ๆ ของคนดังโดยไม่บอกชื่อแต่ให้รายละเอียดชนิดไม่ให้พลาดว่าใครเป็นใครแบบนี้เป็นอะไรที่สาวกซ้อติดอกติดใจกันนัก

สำหรับคนที่ถอดรหัสทำนองนี้ไม่ค่อยเป็นอย่างดิฉัน ก็ต้องอาศัยคำเฉลยของบรรดาคนอ่านที่เข้าไปโพสต์ตามเว็บไซด์ต่อจากเนื้อข่าวกันยาวเหยียดเป็นหางว่าว เลยทำให้ได้รู้ว่าเรื่องลับที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับใคร แม้ว่านักการเมืองหญิงที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร จะโดนหางเลขกันไปบ้าง ไม่เว้นแม้แต่ท่านรัฐมนตรีอุไรวรรณ เทียนทอง แต่การวิพากษ์วิจารณ์และการประณามจะไปในทิศทางเดียวกัน

ดูเหมือนคนไทยที่อ่านข่าวทำนองนี้จะพากันเชื่อว่าเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องจริง ก็เลยออกความเห็นกันสนุกสนาน บางคนไปไกลและเป็นจริงเป็นจังถึงขนาดช่วยตั้งชื่อลูกที่จะเกิดให้จนกลายเป็นเรื่องฮาคลายเครียดไปได้เหมือนกัน

การต่อประเด็นกันเช่นนี้ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตโดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่า บางทีคนไทยชอบมุมอะไรที่ปิดลับ และไม่จริง มีคนพูดแล้วลือกัน นี่แหละเป็นเหยื่อของคนที่ชอบทำลายสังคม...คนพูดแล้วไปนินทา เอาเรื่องนินทามาขยายเป็นเรื่องจริง สังคมไทยควรปรับในเรื่องนี้

อันที่จริงอาการเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าจะเข้าใจได้ของสังคมไทยที่ไม่ค่อยไว้วางใจผู้มีอำนาจและบุคคลสาธารณะ แต่ก็ไม่นิยมการด่ากันซึ่ง ๆ หน้าไม่ว่าจะเป็นเพราะความเคยชินกับการเมืองแบบเผด็จการอำนาจนิยมจนไม่กล้าวิจารณ์ผู้มีอำนาจอย่างตรงไปตรงมา หรือเพราะลักษณะร่วมของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ชอบการเผชิญหน้า

ความเคยชินกับสภาพ เคลือบน้ำตาลที่ข่าวสารที่เป็นทางการให้ภาพด้านเดียวเฉพาะเรื่องทางบวกและการยกย่องสรรเสริญบุคคลสาธารณะจนดูเหนือมนุษย์ ทำให้คนไทยพร้อมจะเชื่ออะไรก็ตามที่เป็นข่าวซุบซิบนินทาในทางเสียหายของบุคคลสาธารณะมากกว่าข่าวสารที่เป็นทางการ เพราะดูเหมือนการนินทาจะเป็นช่องทางเดียวที่มิติที่ซับซ้อนของประเด็นการเมืองจะถูกนำเสนอได้บ้าง

แนวโน้มจะเชื่อข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของบุคคลสาธารณะจึงไม่น่าจะเป็นความไร้สาระของคนไทย แต่สะท้อนแง่มุมที่น่าคิดเกี่ยวกับการตรวจสอบและลงโทษบุคคลสาธารณะด้วยวิธีการของภาคประชาชนในสังคมนี้ต่างหาก การนินทาที่มีนัยของการประณามทางสังคมเช่นนี้ไม่น่าจะถูกมองข้ามหรือมองว่าเป็นเรื่องเล็กที่ไม่ประเทืองปัญญา

การนินทาและด่าทออย่างเมามันของคนไทยหลายกลุ่มตามมาด้วยการแถลงข่าวเคล้าน้ำตาลูกผู้หญิงของคุณ ณหทัย ทิวไผ่งาม ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย ที่นักข่าวหลายคนถามตรงไปตรงมาและดุเดือดลงไปในรายละเอียดส่วนตัว ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ในบริบทที่คนทำสื่อไทยเพิ่งจะเจอกับกรณีท้องไม่ท้องของน้องแหม่มเบนโลว์ไปเมื่อไม่นานมานี้ 

การที่นักการเมืองถูกเล่นงานด้วยเรื่องชู้สาวไม่ใช่เรื่องใหม่ ประเด็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและความสัมพันธ์ทางเพศของผู้หญิงในแวดวงการเมืองเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพยิ่งในการทำลายล้างความน่าเชื่อถือของผู้หญิง แง่มุมเช่นนี้ถูกใช้เพื่อตัดสินทุกเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงในแวดวงต่าง ๆ ของสังคม เราได้ยินเรื่องราวซ้ำซากเกี่ยวกับผู้หญิงที่เมื่อถูกเปิดโปงว่าแปดเปื้อนคือไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในร่องในรอยของกรอบเรื่องเพศที่สังคมยอมรับ แล้วก็สูญเสียการยอมรับนับถือไปเลยทุกเรื่อง จนกลายเป็นว่าผู้หญิงที่ทำผิดในเรื่องเพศเลวไปหมดทุกเรื่อง เรื่องอื่นที่คิดที่ทำก็ไม่ดีหรือผิดไปหมด (ในขณะที่ผู้ชายไม่ได้ถูกประณามหรือปฏิเสธในลักษณะเดียวกัน)

เราจึงมักจะเห็นการใช้มุขเดิม ๆ เช่นนี้กับนักการเมืองหญิงหลายคนจนทำให้น้ำตาลูกผู้หญิงต้องหลั่งรินมาแล้วหลายครั้งหลายหน เรื่องราวทำนองนี้ได้เคยถูก หมายเหตุไว้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม. และเจอกับยุทธการข่าวลือทำนองนี้มาแล้ว การเล่นงานนักการเมืองหญิงด้วยเรื่องเซ็กส์และความสัมพันธ์ส่วนตัวเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและไม่เลือกพรรค ดูเหมือนคนสวยสาวโสดในสภาจะเคยเจอเข้ากับตัวเองมากบ้างน้อยบ้างกันมาแล้วหลายคน

คุณณหทัยเธอมองว่าในกรณีของเธอ เป้าหมายของการถูกเล่นงานไม่ใช่ตัวเธอเองแต่เธอกลายเป็นเหยื่อของการกระทำความรุนแรงในเกมการเมืองมากกว่า แต่ดูเหมือนคนที่ได้รับฟังการแถลงข่าวของเธอหลาย ๆ คนยังติดใจกับเรื่องท้อง-ไม่ท้องของเธอกันอยู่ และอยากจะเห็นหลักฐานการพิสูจน์ที่เด็ดขาดชัดเจนกว่าคำพูดของคุณณหทัยเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อีกเมื่อกรณีนี้เกิดตามหลังคุณแหม่มที่ทำให้คนสับสนกับการท้องการอ้วนของเธอได้ไม่นานนัก

กลายเป็นว่าความชัดเจนที่จะเป็นเครื่องมือในการโต้ตอบทางการเมืองที่ได้ผล ต้องอาศัยการเปิดเผยแง่มุมในเรื่องเพศของผู้หญิงอยู่พอสมควร

บางทีการต่อสู้ทางการเมืองที่กฎเกณฑ์กติกาทำให้เรื่องเพศของผู้หญิงกลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่สำคัญเช่นนี้ อาจไม่ใช่การยึดติดอยู่กับความเป็น หญิงดีเพราะบรรดาหญิงดีอยู่ไม่ค่อยรอดในการเมืองที่เป็นทางการแบบนี้นัก น้ำตาลูกผู้หญิงก็ไม่ค่อยเวิร์คสักเท่าไรถ้าคนไทยที่มีแนวโน้มจะเชื่อข่าวลือยังคลางแคลงใจว่าจะเชื่อคำพูดของนักการเมืองว่าเป็นความจริงได้หรือไม่

การเล่นกับเกมการเมืองแบบนี้อาจต้องอาศัยวิธีการมองเรื่องเพศที่ต่างไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเปิดเผยโปร่งใสในเวลาที่เรื่องเพศของผู้หญิงถูกทำให้เป็นประเด็นสาธารณะ อย่างการทดสอบพิสูจน์ในทางการแพทย์ที่หลายคนเรียกร้อง หรือการตั้งคำถามกลับบ้างว่าการไม่อยู่ในร่องในรอยของเรื่องเพศของผู้หญิงเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับการทำงานการเมืองหรือไม่ อย่างไร ให้คนไทยหลาย ๆ คนที่เชื่อในการแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานหรือเรื่องสาธารณะออกจากกันได้ไปคิดต่อกันบ้าง

วิธีการมองของสังคมอย่างที่เป็นอยู่กำลังสื่อว่าผู้หญิงที่เป็นขบถในทางเพศในแง่มุมต่าง ๆ เลวร้ายหรือไม่สามารถจะทำงานเคลื่อนไหวในทางการเมืองได้เลยเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นทำไมเรื่องเพศจึงไม่มีผลอย่างเดียวกันสำหรับผู้ชาย

เมื่อประเด็นเรื่องเพศของผู้หญิงถูกทำให้กลายเป็นเรื่องสาธารณะ การอ้ำอึ้งหรือคลุมเครือแบบหญิงดีอาจจะยิ่งตอกย้ำความเชื่อความหมายแบบเดิม ๆ เกี่ยวกับเรื่องเพศในฐานะปัจจัยหลักในการตัดสินผู้หญิง ความชัดเจนหรือการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาอาจจะทำให้ได้คิดได้ตั้งคำถามถึงบ้างแง่มุมของเรื่องเพศของผู้หญิงมากขึ้น เพื่อที่ว่าน้ำตาลูกผู้หญิงจะได้ไม่ต้องหลั่งรินให้เห็น (แล้วก็ถูกตั้งคำถามว่าทำไมต้องร้องไห้) เป็นระยะอีกต่อไป

(เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 14 ฉบับที่ 708, 26 ธ.ค. 2548 – 1 ม.ค. 2549)

น้ำตาลูกผู้หญิง

แม้ว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่ได้ผิดไปจากผลการสำรวจของโพลล์ต่างๆ ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง นักวิชาการและผู้รู้ทั้งหลายก็อดจะผิดหวังไม่ได้กับการตัดสินใจของ คนชั้นกลาง ใน กทม. จึงพากันออกมาต่อว่าต่อขานประชาชน และวิเคราะห์แง่มุมต่างๆ ของการเลือกตั้งครั้งนี้กันอย่างน่าตื่นเต้น

 

ในตอนเย็นของวันอาทิตย์เมื่อผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า คุณสมัคร สุนทรเวช ได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน มีหลายเหตุการณ์ของการแสดงความดีใจและเสียใจที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อท่านผู้ว่าฯ หมาดๆ เริ่มต้นการแถลงข่าวด้วยการดุผู้สนับสนุนของท่านเอง แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ภาพของผู้หญิงแกร่งไม่ธรรมดาอย่างคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ถึงกับน้ำตาซึมกับผลที่ออกมา (ไทยรัฐ, 24 กรกฎาคม)

 

ความพ่ายแพ้ของคุณสุดารัตน์ (และผู้สมัครหญิงอีก 3 ทาน รวมทั้ง คุณติ๋ม ด้วย) เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าเห็นใจ คนกรุงเทพฯ ไม่เลือกคุณสุดารัตน์ด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป เช่น ความไม่ไว้วางใจพรรคไทยรักไทย หรือความหมั่นไส้กับฐานะทางเศรษฐกิจและความไฮเทคของเธอ แต่ข้อสังเกตประการหนึ่งที่คงจะปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ในที่สุดผู้หญิงก็ไม่ลงคะแนนให้ผู้หญิงอีกเช่นเคย เหมือนกับที่ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาหญิงจำนวนมากที่สอบตกได้เคยตัดพ้อไว้

ดูเหมือนการปลุกกระแสผู้หญิงของคุณสุดารัตน์จะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก และน่าจะเป็น การบ้าน ให้ทีมงานของคุณสุดารัตน์ไปคิดต่อว่าทำไมผู้หญิงจึงไม่สนับสนุนผู้หญิง ทั้งที่งานในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. มีลักษณะเป็นงาน แม่บ้านที่น่าจะลองให้ผู้หญิงทำดูบ้างอย่างที่คุณสุดารัตน์พยายามเรียกร้อง

การที่เสียงของผู้หญิงไม่ได้สนับสนุนผู้สมัครหญิงอย่างหนักแน่นนั้นมีคำอธิบายได้หลายอย่าง นักวิชาการที่สนใจประเด็นผู้หญิงได้ตั้งข้อสังเกตว่านโยบายของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่เป็นผู้หญิงไม่ได้แตกต่างไปจากนโยบายของผู้สมัครชาย และไม่ได้มีลักษณะใดๆ ที่แสดงให้เห็นถึงแง่มุมของความเป็นผู้หญิง หรือความใส่ใจกับประเด็นของผู้หญิงอย่างเด่นชัด

เรื่องนี้ก็เข้าใจได้อยู่ เพราะผู้สมัครหญิงเหล่านี้ต้องการเสียงสนับสนุนจากผู้ชาย และแข่งขันกับผู้ชายในเวทีของผู้ชาย การมองประเด็นและวิธีการต่อสู้จึงมีลักษณะค่อนไปทางผู้ชาย หรือกลายเป็นผู้ชายไป เพื่อให้เป็นที่ยอมรับหรือเพื่อความอยู่รอดในเวทีการเมือง

นักสังคมศาสตร์ฝรั่งที่ศึกษานักการเมืองหญิงในสังคมตะวันตก พบว่า การที่นักการเมืองมีเพศสภาพเป็นหญิงไม่ได้หมายความว่า จะสนใจหรือเข้าใจในประเด็นของผู้หญิง เพราะความเป็นผู้หญิงนั้นเป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของนักการเมืองเท่านั้น มิติอื่นๆ ของตัวตนของนักการเมืองผู้นั้นอาจจะมีความสำคัญมากกว่า เช่น ชนชั้นหรือพรรคการเมืองที่สังกัด อย่างเช่นกรณีของคุณสุดารัตน์ ความเกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทยดูจะเป็นปัญหาสำหรับเธอมากกว่า ความเป็นผู้หญิงในสายตาของผู้ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อย

นักการเมืองหญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่สนใจเรื่องของผู้หญิง หรือไม่ได้สนับสนุนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาของผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงจำนวนมากในฐานะผู้ออกเสียงเลือกตั้งก็อาจจะให้ความสำคัญกับแง่มุมอื่นๆ ของชีวิตมากกว่าความเป็นผู้หญิงของตนเอง ดังนั้น การปลุกกระแสสนับสนุนจากผู้หญิงโดยยกเพศสภาพของผู้สมัครจึงอาจจะไม่ได้ผลในหลายกรณี

ความยากลำบากของผู้หญิงที่พยายามจะต่อสู้ในการเมืองที่เป็นทางการเช่นนี้ ยังมาจากความคาดหวังในความดีบริสุทธิ์ที่ผู้คนในสังคมมีต่อนักการเมืองหญิง มายาคติประการหนึ่งที่ผู้หญิงที่เข้าสู่แวดวงการเมืองอาศัยเป็นจุดขาย ก็คือ ความเชื่อของคนในสังคมว่าผู้หญิงซื่อสัตย์สุจริต มือสะอาดไม่โกงไม่กินเหมือนนักการเมืองชาย

สังคมคาดหวังให้นักการเมืองหญิงไม่ด่างพร้อยในทางศีลธรรม ทั้งในชีวิตส่วนตัวและงานในหน้าที่ โดยไม่ได้คาดหวังในลักษณะเดียวกันกับนักการเมืองชาย ซึ่งแม้จะกะพร่องกะแพร่งไปบ้างในเรื่องส่วนตัว ก็ไม่ได้ถูกประฌามอย่างรุนแรงเหมือนนักการเมืองหญิง มาตรฐานในทางศีลธรรมที่สังคมคาดหวังจึงดูจะสูงกว่าสำหรับผู้หญิงที่เป็นบุคคลสาธารณะ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะสังคมมองว่าหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ชาย สังคมอาจจะคาดหวังความเป็นอภิมนุษย์จากบุคคลสาธารณะที่เป็นชาย โดยให้อภัยได้บ้างเมื่อผู้ชายไม่สามารถจะทำตามความคาดหวังได้ครบถ้วน แต่จะรู้สึกผิดหวังมากกว่าเมื่อนักการเมือง หรือบุคคลสาธารณะไม่สามารถทำตามความคาดหวังได้

ที่สาหัสกว่านั้นก็คือ ความน่าเชื่อถือหรือการยอมรับของสังคมที่มีต่อนักการเมืองหญิงขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงที่ดีงาม ไม่ด่างพร้อยในทุกแง่มุมด้วย วิธีการทำลายผู้หญิงในการเมืองที่ได้ผลเป็นอย่างยิ่งคือ การทำให้ภาพลักษณ์ที่ว่านี้สกปรกด้วยการแสดงให้เห็นความบกพร่องบางแง่มุมในชีวิตส่วนตัวทั้งที่เป็นเรื่องจริงและเรื่องเท็จ ข่าวลือ (หรือไม่ลือ) เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของนักการเมืองหญิงจึงเป็นเรื่องที่เราได้ยินได้ฟังกันเป็นระยะๆ ทั้งเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น หรือปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัวหลากหลายรูปแบบ คุณสุดารัตน์เองก็เคยเผชิญกับสถานการณ์เหล่านั้นมาก่อน

นอกจากนี้ นักการเมืองหญิงต้องพยายามรักษาภาพของครอบครัวที่สมบูรณ์ การเป็นแม่และเมียที่ดีไม่บกพร่องด้วย ซึ่งก็ดูจะน่าเหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อยที่จะต้องทำงานในหน้าที่ของบุคคลสาธารณะ และทำหน้าที่ในครอบครัวอย่างไม่บกพร่องไปด้วย แม้ว่าสื่อมวลชนสมัยใหม่ที่ยึดติดอยู่กับภาพของ ผู้หญิง 2000’ (ซึ่งก็ไม่ค่อยชัดเจนนักว่าคืออะไร แต่น่าจะหมายถึงผู้หญิงเก่งที่ทำได้ดีเลิศทุกอย่างทั้งงาน ทั้งครอบครัว) จะให้ภาพถึงการทำงานที่วุ่นวายจนมีเวลาสำหรับครอบครัวน้อยลงของนักการเมืองหญิง แต่เธอเหล่านี้ก็ต้องยืนยันให้สาธารณชนเห็นว่าได้พยายามจะทำหน้าที่แม่และเมียที่ดีเท่าที่จะทำได้ในข้อจำกัดที่มีอยู่ ถ้าไม่แสดงให้เห็นความพยายามที่ว่านี้ แต่ไปให้ภาพว่าครอบครัวมีความสำคัญรองจากงานสาธารณะก็คงจะถูกประฌามจากสังคมอีกเช่นเคย

สำหรับผู้หญิงการเข้าสู่แวดวงการเมืองที่เป็นทางการจึงไม่ใช่เรื่องของความรู้ความสามารถแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการรักษาภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับความคาดหวังอันสูงส่งของสังคมด้วย

และเพราะความหนักหนาสาหัสทั้งในเรื่องของความสามารถในงานสาธารณะ และการรักษาภาพลักษณ์ส่วนตัวให้สมบูรณ์ตามความคาดหวัง จึงไม่น่าแปลกใจที่น้ำตาลูกผู้หญิงในการเมืองจะไหลรินให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว.....

(เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 9 ฉบับที่ 426, 31 ก.ค. - 6 ส.ค. 2543)

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เสพติดคนรัก – เธอคือลมหายใจ เธอคือทุกอย่าง...

เมื่อเข้าสู่ความสัมพันธ์ บางคนเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนคนรัก ทั้งในเรื่องการแต่งตัว วิธีพูดจา รสนิยม วิถีชีวิต ฯลฯ เมื่อเปลี่ยนคนรักบุคลิกลักษณะก็เปลี่ยนไปตามคนที่รักอยู่ตอนนั้นด้วย

ทุกข์สุขของหลายคนขึ้นอยู่กับคนรัก เขาดีด้วยก็เป็นสุข เขาไม่น่ารักก็ทุกข์ใจ อารมณ์และความต้องการของตัวเองหายไป มีคนรักเป็นศูนย์กลาง ความสนุกสนานเบิกบานในชีวิตคือการได้อยู่กับคนรักเท่านั้น ทำกิจกรรมทุกอย่างด้วยกัน คนอื่นแทนที่ไม่ได้

หลายคนบอกว่าขาดคนรักไม่ได้ ถ้าเธอจากไปฉันจะขาดใจ ทำไมชีวิตและความสุขของคน ๆ หนึ่งจะขึ้นอยู่กับคนอีกคนได้สุด ๆ ขนาดนั้น

อาการประมาณนี้เป็นเรื่องของการเสพติดคนรักหรือไม่? แท้ที่จริงที่เรา "ติด" นั้นคืออะไร? เราเสพติดความรักหรือเสพติดคนรักกันแน่?

“ทวิตรัก” เปิดวงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าด้วยการเสพติดความรัก ได้เห็นประเด็นน่าสนใจหลายเรื่อง

คำถามหลักของหลายคนคือ “ที่ฉันเป็นอยู่นี้เรียกว่าเสพติดรัก/เสพติดคนรักไหม”

อาการหวงแบบไม่อยากให้เธอเป็นของใครแต่ก็ไม่อยากได้เธอเป็นของฉัน -- @falaliz: หนูไม่ได้อยากเป็นแฟน แต่หนูก็หวงเค้าคะหนูกำลังเสพติด ความรักมั้ยคะ

@PatsonBig: คิดว่าตัวเองเสพติดความรัก ไม่มีแฟนเป็นตัวตนไม่เป็นไร แต่ขอให้มีคนมารัก

@rakniran: ไม่ได้รักมากแต่ชอบอยู่ด้วยตลอด เพราะสนุกสนาน เห็นแก่ตัวไหมครับ

@jitpntc: เส้นแบ่งระหว่าง"ความรัก" กับ "คนรัก"  มันบางมากจนอาจทำให้เราแยกไม่ออกว่าติดอะไร

แล้วการติดความรักกับติดคนรักต่างกันไหม? เป็นไปได้ไหมว่าที่เกิดอาการ “ติด” ที่เกิดขึ้น เป็นการผสมปนเประหว่างติดรักกับติดคนรัก

ความรักเป็นความรู้สึกชุดหนึ่งที่ปรากฎเป็นจริงผ่านตัวคนคือคนรัก ความรักทำให้หลายคนรู้สึกดี และเข้าใจไปว่าความรู้สึกดี ๆ นั้นเป็นเพราะคนรัก?

คนที่เราปิ๊งมักมีบางอย่างที่เราชื่นชอบแต่เราไม่มีและเติมเต็มตัวตน เช่นคนไม่ผอมบอกว่ามักจะหลงรักคนผอม @rakniran: ชอบคนเพรียวบางตลอดเลยครับ// เติมเต็มคนเจ้าเนื้อ เราไม่ผอมในวัฒนธรรมคลั่งผอมก็รักคนผอมหรือมีคนผอมมารักแทนไง

เมื่อคนที่ดูสมบูรณ์รักตอบทำให้ตัวเราเองเหมือนถูกเติมเต็ม ครบถ้วนสมบูรณ์ไปกับเขาด้วย โลกของเรางดงามอยากให้เป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆไม่จบสิ้น

หลายคนชอบความรู้สึกดีๆเมื่อแรกรัก ความตื่นตาตื่นใจในลักษณะน่าปรารถนาของคนรักเมื่อแรกพบ อยากจะรู้สึกดีไปเรื่อยๆ เลยติดคนรักแบบขาดเธอไม่ได้ ความรู้สึกดีเมื่อแรกรักทำให้เข้าใจไปว่าเขาคนเดียวทำให้เราเป็นสุขได้ ทำให้เกิดอาการยึดเหนี่ยวคนรักที่กลายเป็นการบั่นทอนความรักและความรู้สึกดีได้

ความกลัวจะเสียคนรักทำให้หลายคนหวงและห่วงหา จนกลายเป็นการจิกเกาะตามติดหรือหวาดระแวงอย่างน่าหวาดกลัว อาการทำนองนี้ผลักให้คนรักหนีหายไปได้เพราะเห็นแต่การยึดเหนี่ยวที่ทำให้อึดอัดรำคาญใจ แต่มองไม่ทะลุไปถึงความรักหลงมากมายที่อยู่เบื้องหลังการเกาะติดนั้น

คนจำนวนไม่น้อยหลบหลีกวิ่งหนีคนรัก เพราะความรำคาญและความเบื่อหน่ายการเกาะติด กลายเป็นการไล่ล่าที่บ่อนเซาะความรักที่เหลือน้อยนิดให้หายไปกลายเป็นความเกลียดชังได้ในเวลาไม่นาน

บางคนเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนคนรักเพราะรู้สึกว่าเขามีสิ่งที่เติมเต็มเรา เหมือนเขาแปลว่าเราสมบูรณ์ไปด้วย เราจึงได้เห็นคู่รักหลายคู่เหมือนกันในหลายเรื่อง บางทีความคล้ายคลึงนี้เป็นความพยายามจะเหมือนกันมากกว่า

แต่ปัญหาคือการ “เลียนแบบ” คนรัก ทำให้หลายคนดูน่าสนใจน้อยลงในสายตาคนรัก อะไรที่เคยดึงดูดใจเมื่อแรกพบหายไปเพราะการพยายามทำตัวให้เหมือนคนรัก ทำให้ความน่าตื่นเต้นเมื่อแรกรักลดน้อยลงไปได้เหมือนกัน

การพยายามจะเติมเต็มตัวตนให้สมบูรณ์โดยเลียนแบบคนรัก กลายเป็นผลเสียต่อการรักษาความรักความสัมพันธ์ และทำให้การยึดเหนี่ยวคนรักไว้ให้ได้เป็นเรื่องยากเย็นขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อการสูญเสียตัวตนเพราะการพยายามทำตัวให้เหมือนคนรักเจอเข้ากับการเกาะติดเพราะกลัวสูญเสีย ความสัมพันธ์ก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อไปได้

กลายเป็นว่าการเสพติดคนรักที่ทำให้หลายคนทำทุกอย่างเพื่อจะไม่สูญเสียคนรัก ตั้งแต่การเปลี่ยนตนเองไปถึงการแสดงความหวงแหนอย่างสุด ๆ กลับบั่นทอนความรักที่เราพยายามจะรักษาไว้

แต่เมื่อความรักจางลงและการรักษาคนรัก/ความรักกลายเป็นทุกข์มากกว่าสุข หลายคนก็ยังยึดเหนี่ยวคนรักและความสัมพันธ์ไว้อย่างไม่ยอมปล่อยมือ เพราะยังติดอยู่กับความรู้สึกดีเมื่อแรกรักโดยไม่ตระหนักว่าความรู้สึกนั้นไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

บางทีความเชื่ออย่างจริงจังว่าคนรักเท่านั้นทำให้เราเป็นสุข ทำให้เรายึดเหนี่ยวโดยไม่มองไม่เห็นว่าความสุขแรกรักอาจไม่เหลืออยู่อีกแล้ว

@jitpntc: ดูเหมือนเราจะเสพติดความคุ้นเคย เคยชินของตัวเอง เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจึงรับไม่ได้// คนน่าจะเสพติดทั้งความรู้สึกดีและความคุ้นเคย

โจทย์ที่ต้องคิดต่อคือ จะทำอย่างไรไม่ให้ความรู้สึกดีเมื่อแรกปิ๊งกลายเป็นปัจจัยหลักที่ขังเราให้วนเวียนอยู่ในทุกข์ เมื่อสุขวูบแรกปิ๊งหายไปเหลือแต่การยึดเหนี่ยวและกังวลว่าจะสูญเสีย

@REDBCC: วิธีการออกจากทุกข์นั้นโดยเร็วคืออะไรครับ// น่าจะเริ่มจากถามตัวเองว่ารักแบบนี้ทำให้เราเป็นสุขหรือ? ถ้าไม่สุขจะเสพติดอยู่ทำไม

การยกทุกข์สุขของเราให้อยู่ในมือคนอื่น อันตรายนะคะ คนอื่นไม่ได้เกิดมาเพียงเพื่อจะทำให้เราเป็นสุข  เราก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นสุขได้ตลอดเวลา


วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โสด = เหงา??

“ทวิตรัก” เป็นพื้นที่ชวนคิดชวนคุยใน Twitter ในประเด็นความรักความสัมพันธ์ คนที่เข้าร่วมอึดอัดหรือทุกข์โศกกับกติกาการเริ่ม – เลิกความสัมพันธ์บนฐานของความรักแบบโรแมนติค ที่ทำให้เกิดสถานการณ์เจ็บซ้ำซาก หรือทำอย่างไรก็ลงเอยที่เจ็บจี๊ด


เก็บมาเล่าต่อและชวนคิดโดยคงรูปข้อความสั้นแบบ Twitter ค่ะ

เมื่อไม่นานมานี้ “ทวิตรัก” ชวนคุยเรื่องชีวิตโสด โดยได้แรงบันดาลใจจากคำถามของ @roundfinger ผู้หญิงที่เสียดายชีวิตโสดมีบ้างมั้ย? คนที่ร่วมคุยในวง “ทวิตรัก” ทำให้เห็นได้ว่าโสดและปัญหาอันเนื่องมาจากความโสดไม่ได้เลือกเพศ แม้ว่าความโสดอาจมีผลต่างกันสำหรับชายหญิงในหลายแง่มุม

คนโสดหลายคนบอกว่าเหงา ไม่มีเพื่อนกินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยว ปรับทุกข์ และคอยห่วงใย โดยไม่ถามต่อไปว่าแล้วคนที่ไม่โสดได้สิ่งเหล่านี้หรือไม่

กิจกรรมหลายประเภทในสังคมบีบบังคับให้คนอยู่เป็นคู่? ทำให้คนไม่มีคู่ดูเป็นส่วนเกิน และเก้อเขินเมื่อต้องร่วมทำกิจกรรมเหล่านั้น เช่นไปงานเลี้ยง 

การทำกิจกรรมบันเทิงและการพึ่งพิงทางใจเป็นอะไรที่ต้องทำกับคู่รักหรือคู่สมรสเท่านั้นจึงจะสนุกหรือ ทำกับเพื่อนหรือคนที่ไม่ใช่แฟนได้ไหม?

เป็นไปได้ไหมว่าคนที่มีคู่ก็เหงาได้เพราะความไม่เข้าใจหรือไม่สามารถเป็นคู่คิด/ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ หรือคนมีคู่โหยหาความเป็นส่วนตัวที่หายไป

@Big_Mong โสดเลยอยากจัดการกับความเหงา// โสดแล้วเหงายังไง บางคนมีคู่ก็เหงาเพราะไม่ใช้เวลาร่วมกันหรือเป็นเพื่อนคู่คิด เพราะต่างกันเกินไป 

@Big_Mong ภาษีสังคมด้วย แต่งงานก็ใส่ซอง คลอดลูกก็ต้องซื้อของให้ เมื่อไหร่คนโสดจะได้คืนละ// ต้องมีงานฉลองความโสดปีละหนให้คนใส่ซอง

เมื่อถึงอายุหนึ่งแล้วยังไม่แต่งงาน คนที่รู้จำทำท่าประหลาดใจปนสงสาร ราวกับเราเป็นโรคร้ายใกล้เสียชีวิต บางคนถามอ้อมค้อมว่าทำไมหาผัวไม่ได้ละเธอ? 

เป็นไปได้ไหมว่าท่าทีต่อคนโสด โดยเฉพาะที่เลย 'วัยอันควร' ไปมาก ๆ มีการตัดสินว่าไม่ปกติอยู่ด้วย เลยกลายเป็นความอึดอัด เพราะเราไม่ชอบให้ใครตัดสิน 

@ntybpd ชายโสดถูกมองว่าเป็นเกย์ เลือกมาก นักบวช ขันที// แปลว่าชายโสดก็ถูกมองว่าประหลาด แต่ประหลาดน้อยกว่าหญิงโสด?

สังคมมองชายโสดในทางบวก ยิ่งอายุมากยิ่งมีเสน่ห์ แต่หญิงโสดถูกมองอย่างสงสัยว่าบกพร่อง และถูกเหมาว่าหงุดหงิด อารมณ์ร้าย เพราะความโสด

@meiiyou ชายโสดโอกาสในการมีคู่ ยังมีเสมอ หญิงโสดโอกาสในการมีคู่ น้อยลงเรื่อยๆ// แปลว่าผู้ชายยิ่งแก่ยิ่งมีคุณค่า ผู้หญิงแก่หลุดนอกสายตา?

@Ajbomb สมัยนี้ยิ่งโสดยิ่งน่าสนใจโดยเฉพาะหญิงเก่งแม้จะแก่// อนุโมทนาค่ะ หญิงเก่ง+แก่ มักจะถูกมองเป็นแม่มดหรือนังตัวแสบมากกว่าหญิงเจ้าเสน่ห์

คนมักเชื่อว่าเซ็กส์และความพึงพอใจทางเพศเกิดขึ้นเฉพาะในคนไม่โสด รูปแบบเรื่องเพศหลายอย่างถูกมองข้าม คนโสดก็มีเซ็กส์และพึงพอใจกับเซ็กส์ได้

@jitpntc คนโสดแสวงหาความสุขทางเพศยังไง (โดยเฉพาะผู้หญิง)// Masturbation, autoeroticism แปลเป็นภาษาไทยให้เพราะแบบไม่หื่นเกินเหตุว่าอะไรดี

ถ้า “เหงา” คือความรู้สึกไม่มีคนร่วมทำกิจกรรม ไม่มีคนพูดด้วย แลกเปลี่ยนทุกข์สุข ความโสดไม่จำเป็นต้องมากับความเหงา?

ความโสดหมายถึงการไม่อยู่ในความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง เป็นคู่แบบชัดเจนตายตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าคนโสดจะไม่มีคนห่วงใย เข้าใจ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย

เหวาเพราะโสดอาจเป็นเพราะรู้สึกขาด ไม่มีครบตามมาตรฐานความสุขที่เชื่อมกับการอยู่ในความสัมพันธ์
เพราะโสดอาจทำให้บางคนขาดบางเรื่อง บางอย่าง แต่ก็อาจมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่คนโสดไม่มี ถ้าคนโสดเลิกหม่นหมองแล้วมองรอบตัวอาจพบสิ่งที่มีค่าในชีวิตที่หล่อเลี้ยงความเป็นเรา โดยไม่ต้องอยู่ในความสัมพันธ์

เรามีทั้งสุขและทุกข์กับความโสดและไม่โสด แต่เราเห็นแต่ทุกข์ของเราเพราะนึกไม่ออกว่าคนที่ไม่เหมือนเราเป็นยังไง เป็นไปได้ไหมว่าเรามีปัญหาคนละชุด

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชนะใจคนรักอย่างไรดี? – ประเด็นตกค้างจาก “ทวิตรัก”

ช่วงท้ายของวงสนทนา #ทวิตรักคืน 1พค. มีคำถามเรื่องการเอาชนะใจคนที่ไปหลงรัก ขอตอบเพิ่มเติมสวนกระแสการตายของ Osama bin Laden

เราไม่เป็นตัวเราเมื่อแรกรัก แต่พยายามจะนำเสนอตัวเราในเวอร์ชั่นที่น่ารัก หรือทุ่มเทให้ๆๆ เพื่อให้คนรักเห็นใจ โดยไม่รู้ว่าปัญหารออยู่ข้างหน้า

การไม่เป็นตัวเองเมื่อแรกรักทำให้หลายคนเหนื่อยกายและอ่อนใจเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อทำไม่ได้เหมือนแรกเริ่มก็ถูกคนรักตำหนิว่าเปลี่ยนไป

การเอาชนะใจคนรัก น่าจะต้องพิจารณาว่าคนที่เราไปรักต้องการอะไร แล้วให้ในสิ่งที่เขาต้องการและเราให้ได้ แต่ละคนมีความสามารถในการให้ไม่เท่ากัน

บางคนชอบการพิสูจน์รักด้วยการให้วัตถุแทนรัก เช่นดอกไม้ ตุ๊กตา คัพเค็ก ไอโฟนสีขาว ฯลฯ แต่การให้ของเป็นเรื่องยากถ้าทุนทรัพย์น้อย

คนที่พอใจกับการได้วัตถุจากคนรักมักบอกว่าไม่อยากได้ของเพราะเกรงจะถูกมองว่างก ทำให้ส่งสัญญาณสับสน จนที่เข้ามาหาตอบสนองไม่ถูก

หลายคนบอกว่าอยากได้ “ใจ” มากกว่าได้ของ อย่างความเข้าใจ ใส่ใจ เห็นใจ จริงใจ ฯลฯ เราให้เขาได้ไหม เพราะให้ “ใจ” ยากกว่าให้ของ

ให้ในสิ่งที่คนรักมองหาน่าจะชนะใจเขาได้ชั่วขณะ ที่เหลือต้องหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้และปรับเข้าหากัน

คำถามสำคัญในการเอาชนะใจคนรักคือแล้วตัวเราต้องการอะไรจากความรักและคสพ. จะเอาชนะใจคนรักไปเพื่ออะไรและจะสัมพันธ์กับเขาอย่างไร

หลายคนอยากมีรัก/คนรัก แต่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรจากความรัก เมื่อได้รักมาเลยไม่รู้จะจัดวางความรักไว้ตรงไหนในชีวิต กลายเป็นทุกข์มากกว่าสุข