อกหัก – รักร้าว
ดิฉันมักจะถูกขอให้บรรยายหรือร่วมอภิปรายในประเด็นเพศวิถีอยู่บ่อย ๆ บางครั้งก็เป็นเวทีวิชาการ แต่หลายหนเป็นการอบรมให้ความรู้คนหลายอาชีพ อย่างหลังนี่พูดลำบากเพราะประมาณไม่ค่อยได้ว่าคนฟังเป็นอย่างไร ต้องพูดอย่างไรให้รู้เรื่อง แต่เมื่อทำต่อเนื่องมาได้ระยะหนึ่งก็เห็นได้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ยากนักหรอก และมักจะได้เรียนรู้จากการแลกเปลี่ยนหรือคำถามของผู้คน หลายครั้งก็สวมวิญญาณ Lilith พูดและตอบคำถาม
อย่างหนึ่งที่เห็นได้ก็คือชนชั้นกลางไทยไม่ค่อยจะมีที่ระบายทุกข์ว่าด้วยความรักความสัมพันธ์นัก และต้องการคนฟังที่พร้อมจะโอบอุ้มใจของเธอและเขา
ทุกเวทีที่ไปพูดเรื่องเพศวิถี จะต้องมีคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เข้ามาเล่าความทุกข์เกี่ยวกับความสัมพันธ์หรือเพศวิถีของเธอ/เขาให้ฟัง อย่างวันนี้ที่โคราชมีคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหญิงอายุมากกว่าผู้ชาย 5 ปี พ่อแม่ผู้ชายพยายามกีดกัน ผู้ชายก็เชื่อฟังพ่อแม่ เลยเลิกกับผู้หญิงไปแล้วก็กลายเป็นคนสำมะลเทเมาเพราะอกหัก ส่วนผู้หญิงก็ไล่ตามไล่จิกเพราะไม่ยอมให้ผู้ชายทิ้งไป ผู้หญิงถามว่าพ่อแม่ควรจะกีดกันเช่นนี้หรือ
คำตอบของดิฉันคือ บางทีคนต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับความผิดหวังของตนเอง เพราะเราไม่สามารถจะสมหวังทุกครั้งที่มีความรัก (แต่ส่วนใหญ่จะแห้วมากกว่า)
หลายคนไม่สามารถที่จะจัดการกับความรู้สึกผิดหวังของตัวเองได้ ก็เลยทำร้ายตัวเองและคนที่รัก กรณีชายหญิงต่างวัยคู่นี้น่าสงสัยไปได้ว่า ทั้งสองยังรักกันอยู่ไหม เพราะการไล่ล่าตามจิกของฝ่ายหญิงด้วยความโกรธแค้นอาจบั่นทอนความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันไปจนหมดแล้ว
โจทย์คือการมองให้เห็นเมื่อความสัมพันธ์จบลง หรือเมื่อไรควรจะปล่อยมือจากการเกาะกุมเกี่ยวพันกับคนที่เรารักเพราะทุกสิ่งทุกอย่างสุดทางของมันแล้ว และอยู่กับความไม่สมหวังนั้นให้ได้
เจ้าของคำถามเกิดอาการเหมือนจะคุมสติไม่อยู่ในช่วงปลาย ๆ ที่เธอเล่าเรื่อง ไม่รู้ว่าคำตอบให้ปล่อยมือและจัดการกับความรู้สึกผิดหวังของเธอเอง จะเป็นประโยชน์กับเธอบ้างไหมนะ
หลวงพี่กิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ได้เมตตามาช่วยตอบประเด็นนี้ว่า
"ความรัก" ระหว่างบุคคล เป็นทั้งเรื่อง "ส่วนตัว" และ "ส่วนรวม" ด้านหนึ่งเป็นเรื่องด้านใน เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ขณะที่อีกด้าน(หรือหลายๆ ด้าน)เป็นปฏิสัมพันธ์ ระหว่าง "ผู้รัก" กับอะไรต่อมิอะไรภายนอก...
ความซับซ้อนขนาดนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ใครจะบริหารจัดการด้วยสมอง หรือด้วยความรู้สึกล้วนๆ เพียงด้านเดียว จึงง่ายที่ความเปราะบางอยู่แล้วเช่นนี้จะแตกร้าว หรือแตกสลายไป
ปัญหาที่ตามมาคือจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เหลืออยู่ คือ..ตัวเอง(กับสิ่งอื่นๆ)นั่นเอง โดยที่ไม่มีอีกฝ่ายอีกแล้ว...
ในแง่พุทธ ต้องเริ่มจากการระลึกรู้(สติ)ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเรา และเราเข้าใจว่าอย่างไร(ปัญญา) เพื่อลำดับต่อไปจะตามมา ว่าเราจะวางท่าทีกับปรากฏการณ์ที่เกิดอย่างไร(วิปัสสนา) "ให้ทุกข์น้อยที่สุด" โดยที่ "ไม่ทำร้าย" ทั้ง "ตนเอง" และ "ผู้อื่น"
การเข้าใจความรักเป็นเรื่องไม่ง่าย เช่นเดียวกับการเข้าใจบริบทกลไก และความ สัมพันธ์-สัมพัทธ์ ของความรัก นอกจากนั้นในขณะที่ "กำลังรัก" ก็คงไม่ง่าย ที่จะมีสติเพียงพอสมบูรณ์พร้อม(ความรักเป็นเหตุหนึ่งให้เผลอสติโดยง่าย)
ก่อนจะรัก ระหว่างที่กำลังรัก หรือกำลังที่จะเลิกรัก จึงควรอยู่ด้วยสติและปัญญา โดยฝึกตนเอง เตรียมตนเองไว้พอสมควร..ก่อนหน้านั้น
เมื่อไหร่ที่ระบบการศึกษาจะช่วยมนุษย์ โดยสอนให้รักตนเองและผู้อื่นอย่างเหมาะควร เพื่อมนุษย์จะทุกข์น้อยลง?
ประเด็นนี้แลกเปลี่ยนกันใน facebook เห็นว่าน่าจะได้อ่านกันในวงกว้างด้วย เลยเก็บมาฝาก แล้วจะเล่าเรื่องประเด็นอมตะที่ถูกถามอยู่เสมอเรื่องการถูกนอกใจ ถ้าอยากอ่านก็มาเมนต์ให้รู้ด้วยนะ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ตัวพ่อแม่ที่กีดกันนั่นแหละครับว่าทำไมถึงกีดกันนัก มีเหตุผลอะไรนักหนาที่ต้องเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตลูกตัวเองที่น่าจะมีอายุไม่ใช่น้อยๆแล้ว [40 up?] อีกส่วนคือ ตัวผู้ชายเองก็จิตใจไม่เข้มแข็งพอ โอนอ่อนไปตามความต้องการของบุพการีทั้งที่ตัวเองน่ะรู้ดีกว่าใครว่าเรื่องนี้สำคัญกับตัวเองแค่ไหน
ตอบลบสรุปแล้ว คือ แย่พอๆกันเลย