คุณทำอะไรได้บ้างเพื่อความรัก
บางคนคงจะตอบในใจว่า ขึ้นอยู่กับรักใคร ถ้าเป็นรักตัวเองละก็ ทำทุกอย่างได้อยู่แล้วใช่ไหม แต่ถ้าทาร์เก็ตของความรักเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณเองล่ะ คุณยินดีจะทำอะไรให้เขาหรือเธอบ้าง
เชื่อไหมว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำอะไรได้ทุกอย่าง สละได้แม้เกียรติยศชื่อเสียง การงานอาชีพ หรือแม้แต่ครอบครัว พ่อแม่อันเป็นที่รัก เพื่อคนที่รัก ซึ่งดูจะสำคัญที่สุดและมาก่อนอะไรทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือเจ็บปวดแค่ไหนก็ยอมได้ คุณ ๆ คนอ่านบางคนอาจจะรู้สึกมหัศจรรย์กับความเป็นผู้ให้และทุ่มสุดตัวของคนหลายคนว่าอะไรจะขนาดนั้น เพราะตัวเองไม่เคยเป็นฝ่ายให้ใครเลย ชอบแต่จะรับ ขณะที่คนมีอาการเช่นนี้คงไม่ประหลาดใจเลย และออกจะเจ็บลึก ๆ เมื่อคิดถึงเรื่องทำนองนี้ด้วยซ้ำ
หนุ่มน้อยรายหนึ่งเรียนหนังสืออยู่แถวบางนา แต่ไปหลงรักสาวไกลขนาดต้องขับรถข้ามไปถึงสามจังหวัด เพราะโรงเรียนของสาวน้อยเธออยู่ไกลถึงปทุมธานี เพื่อความรักหนุ่มจึงยอมโดดเรียนและเบี้ยวนัดเพื่อนฝูงเพื่อจะไปรับไปส่งและใช้เวลากับสาวน้อยของเขาทุกวัน เอาเป็นว่าเวลาของเขาทั้งหมดยกให้เธอคนเดียว หรือเธอมาก่อนเสมอ
หนุ่มน้อยขับรถข้ามจังหวัดไปมาเช่นนี้อยู่เป็นแรมปีจนทั้งสองฝ่ายเรียนจบ โดยระหว่างเรียนหนุ่มก็จุนเจือสาวน้อยในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปด้วย เพราะฝ่ายสาวฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก เมื่อเรียนจบก็ยังช่วยส่งเสียสาวสุดที่รักให้ได้เรียนต่อ และยังดูแลไม่ให้เธอต้องยากลำบากด้วย แบบว่าพี่มีแต่ให้ยังไงยังงั้น
แต่สาวน้อยคนนี้เธอดูจะแปลก ๆ อยู่นะ เธอไม่ค่อยจะรักษาน้ำใจหนุ่มของเราเลย ทั้งดุทั้งด่าและงอนสุดฤทธิ์สุดเดชเมื่อไม่ได้อย่างใจ ดูเหมือนไม่ค่อยรักหนุ่มผู้แสนดีคนนี้ เลยทำให้หนุ่มน้อยของเราต้องคั้งคำถามในใจหลายครั้งหลายหน
เวลาผ่านไปอีกไม่นานนัก หนุ่มน้อยของเรา (และเพื่อน ๆ ที่คอยลุ้นอย่าง Lilith) ก็ได้คำตอบ เมื่อสาวน้อยเธอสารภาพว่าไม่ได้รักหนุ่มพ่อพระคนนี้หรอก และตั้งใจว่าจะแต่งงานกับคนที่เธอรัก (ตัวจริง) หลังจากจบปริญญาโทแล้ว
หนุ่มของเราแทบจะกระอักเลือดเลยทีเดียว เพราะยอมทุ่มทั้งเงิน เวลา และความรู้สึกอยู่หลายปี Lilith เห็นใจหนุ่มคนนี้เป็นที่สุด แต่ก็อดถามให้สะเทือนใจไม่ได้ว่า ทำไมถึงได้ทุ่มเทอย่างไม่ยั้งไม่เผื่อขนาดนั้น ดูไม่ค่อยฉลาดเท่าที่ควรเลยนะเธอ หนุ่มน้อยคนนี้ตอบด้วยการยกนิยามของความรักที่ว่า ความรักคือการให้ และเมื่อรักแล้วก็ต้องให้อย่างเต็มที่โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
คำตอบแบบนี้ ฟังแล้วทั้งเอียนทั้งทะแม่ง ๆ อย่างไรอยู่ Lilith เลยถามต่อว่า หนุ่มน้อยของเราทุ่มเททุกอย่างโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเลยจริง ๆ หรือ หนุ่มน้อยผู้แสนดีบอกอย่างจริงใจว่า ไม่จริงหรอก พูดให้ฟังดีไปยังงั้นแหละ จริง ๆ แล้วหวังจะให้เขารักตอบน่ะสิ ถึงได้เจ็บจนแทบชักขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อว่าความรักโรแมนติกเวอร์ชั่นที่ละครและนิยายหวานแหววแบบเน่า ๆ ช่างมีอิทธิพลกับความคิดความเชื่อของเราอย่างมากมายมหาศาลจริง ๆ คุณคนอ่านหลาย ๆ คนก็เชื่อเหมือนหนุ่มน้อยของ Lilith ไม่ใช่หรือว่า ความรักคือการให้ และเมื่อคุณรักใครแล้วก็ยอมให้ได้ทุกอย่างเหมือนกัน
หลายครั้งที่อ่อนล้าจากการเป็นผู้ให้แบบทุ่มเทสุดตัวสุดใจ คุณ ๆ บางคนอาจต้องถามตัวเองว่านอกจากความรักจะทำให้เราตาบอดแล้ว ยังทำให้เราโง่เง่าได้เพียงนี้เชียวหรือ เพราะการให้ของเราไม่ได้รับการตอบสนองที่ทำให้เราเป็นสุข แต่กลับทำให้เราต้องผิดหวังและเจ็บช้ำ ยิ่งโดนเข้าหลาย ๆ ครั้งก็ยิ่งตั้งคำถามกับนิยามที่ว่า ความรักคือการให้ ว่าถ้าให้อย่างเต็มที่แล้วได้แต่ความผิดหวังและเจ็บปวด จะให้ไปทำไมกัน นอกจากจะมีความสุขกับการทำร้ายตัวเอง
การให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งของโลกนี้ที่พูดง่าย แต่ทำยากเป็นที่สุด ที่เป็นและทำกันอยู่ในชีวิตนั้นเป็นอีกทางหนึ่งต่างหาก เพราะเราหวังจะได้ความรู้สึกดี ๆ ตอบจากคนที่เรารัก เราจึงทุ่มเทและยินดีเป็นฝ่ายให้กันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ยิ่งบางคนเชื่อด้วยว่า รักแท้เอาชนะได้ทุกอย่าง เลยยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคิดว่าการทุ่มสุดตัวน่าจะทำให้ตัวเองได้อย่างที่หวัง
ความรักอาจจะเอาชนะอะไรได้หลายอย่าง รวมทั้งชนะใจคนบางคนที่ไม่รักเรา แต่ก็มีหลายกรณีที่ความรักเป็นฝ่ายแพ้ และคนที่ไม่รักเราอย่างไร ก็ไม่รักเราอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าเราจะทุ่มเทให้มากมายขนาดไหน แต่เพราะเราเอานิยามความรักคือการให้มาปนกับความเชื่อในความยิ่งใหญ่ของความรัก เลยทำให้หลายคนออกอาการ romantic fool ที่ดูเหมือนตาบอด ทุ่มเททุกอย่างได้เพื่อความรัก เหมือนที่มีคนเคยเปรียบเปรยว่า เส้นแบ่งระหว่างความรักแท้และความโง่อย่างบัดซบนั้นช่างบางแสนบาง จนบางครั้งดูเหมือนทั้งสองอย่างปนเปเป็นเรื่องเดียวกัน
ลองมาตั้งต้นคิดใหม่ทำใหม่กันดีกว่า ลองถามตัวเองให้ดี ๆ และตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณสามารถให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทนได้จริงหรือ คุณยินดีที่เห็นคนที่รักเป็นสุข ไม่ว่าคุณจะเป็นทุกข์มากแค่ไหนจริงหรือ หรือว่าคุณเองก็ต้องการให้คนคนนั้นรักตอบ แบบว่าคุณรู้สึกต่อเขาอย่างไร ทุ่มเทให้มากแค่ไหน ก็อยากให้เขารู้สึกแบบเดียวกันนั้นกับคุณบ้าง
ถ้าคุณอยากได้ความรักตอบแทนจากการให้และการทุ่มสุดตัวของคุณ ก็อาจจะต้องมีอการเผื่อใจไว้บ้างในกรณีที่เรื่องราวมันไม่ออกมาอย่างใจ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พูดง่ายทำยากเหมือนกัน เอาเป็นว่าของอย่างนี้มีความเสี่ยงและไม่แน่นอนสูงมากนะ เรามีโอกาสจะได้ความรู้สึกดี ๆ ตอบ และอาจจะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน คนที่เคยผ่านประสบการณ์อย่างนี้ เขาบอกว่า บางที่ก็ต้องดูคนที่เป็นเป้าหมายของการทุ่มด้วยเหมือนกัน คนที่ทุ่มแล้วสมหวังก็เพราะเปาหมายของเขามีท่าทีตอบรับอยู่บ้างแล้ว แต่คนที่เขาไม่มีทีท่านี่สิออกจะลำบาก เพราะโอกาสไม่สมหวังดูจะสูงกว่า คุณยอมรับได้หรือเปล่าว่าความพยายามของคุณจะนำไปสู่ผลได้ทั้งสองทาง ไม่สมหวังก็ผิดหวัง
ความจริงที่เชื่อกันว่าความรักคือการให้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนักหรอก ถ้าเราบอกตัวเองได้ว่าเมื่อไรจะหยุดให้หรือหยุดทุ่ม ปัญหาของ romantic fool ก็คือ เขาและเธอไม่รู้หรือไม่ยอมรับว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วต้องหยุดทุ่มเสียที เพราะการเป็นฝ่ายให้ไปเรื่อย ๆ นั้นทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อตัวเขาเองและคนที่เกี่ยวข้องได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางวัตถุหรือจิตใจ
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ romantic fool อาจโชคไม่ดีไปเจอคนที่นอกจากจะไม่รักแล้วยังหาประโยชน์จากเขาหรือเธอเสียอีก เหมือนที่หนุ่มน้อยผู้แสนดีของ Lilith เจอเข้านั่นไง คุณ ๆ บางคนอาจคิดว่าการหาประโยชน์แบบนี้เป็นการหลอกกันอย่างเลือดเย็น แต่ก็อย่าลืมว่า ความพยายามทุ่มเทและยินดีให้นี้เองเป็นจุดอ่อนให้เขาฉวยโอกาสเอาได้ เราเองก็เต็มใจอยากให้อยากทุ่มอยู่แล้วนี่ ความโชคร้ายนี้เองที่ทำให้ romantic fool ต้องเจ็บปวด แต่หลายคนก็ไม่ยอมเข็ดหรือหยุดการทุ่มนั้นหรอกนะ
การให้อย่างไม่มีขอบเขตแบบนี้ทำให้ romantic fool ต้องเดือดร้อนหรือสูญเสียมากมาย ไม่แต่เฉพาะทรัพย์สิน เงินทองและเวลา ยังเป็นเรื่องของความรู้สึกคนรอบข้าง เช่น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง เมื่อ romantic fool ทุ่มเทให้คนรักจนมองข้ามความรู้สึกของคนที่รักตน หลายคนเสียงานเสียการ บางคนสูญเสียความน่าเชื่อถือหรือชื่อเสียง
สาว ๆ หลายคนอยากให้ชายหนุ่มของตนรักไม่หนีไปไหน ถึงกับยอมมีอะไรกับหนุ่มคนนั้นโดยไม่มีการป้องกัน (เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องคุยกันยาวอีกเหมือนกัน) หลายครั้งที่การทุ่มสุดตัวแบบนี้ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งหนุ่มไว้ได้ แถมสาวน้อยหลายคนได้ของแถมที่ตัวเองไม่ต้องการ เช่น ท้องโดยไม่ตั้งใจ กลายเป็นปัญหาใหม่ให้ต้องคิดและตัดสินโดยลำพัง บางคนติดโรคผ่านการร่วมเพศ อย่างกามโรคหรือเอดส์ ที่ความเสียหายอาจทำให้ต้องสูญเสียชีวิตได้
เพราะอย่างนี้คุณ ๆ ที่ชอบออกอาการ romantic fool ทั้งหลายจึงควรนึกถึงอะไรหลายอย่าง นอกจากจะต้องยอมรับว่าเรามีโอกาสผิดหวัง ไม่ว่าจะทุ่มมากมายแค่ไหน และคงต้องหยุดคิดเป็นระยะว่าถึงจุดที่จะถอยหรือยัง ของ (หรือคน) ที่ไม่ใช่ ทำอย่างไรก็ไม่ได้มาหรอกนะ
เมื่อรู้สึกว่าถึงเวลาถอยดีกว่า ก็คิดเสียว่าเราได้ทำดีที่สุดแล้ว บังเอิญผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นอย่างใจเราเท่านั้น เอาไว้ลองดูใหม่คราวต่อไปก็แล้วกัน...
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552
คุณเชื่อไหมว่ามี “เนื้อคู่” ของคุณรอคุณอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งในโลกนี้ แล้ววันหนึ่งคุณทั้งสองจะได้พบกัน และใช้ชีวิตคู่อย่างเป็นสุข ชนิดถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร อย่างที่ผู้หลักผู้ใหญ่มักจะอวยพรคู่บ่าวสาวในงานแต่งงานแบบไทย ๆ
เราโตมากับ “ความฝัน” แบบนี้ เราได้ยินได้ฟังเรื่องทำนองนี้ซ้ำ ๆ จากนิทาน นิยาย หนังโรง หนังทีวี ที่มักจะจบด้วยฉากพระเอกนางเอกที่ดูดีเหมาะสมกันทั้งรูปโฉม ความเก่ง และความดีงาม ได้สมหวังในความรักอันสมบูรณ์แบบ เรื่องราวแบบเดิม ๆ นี้ถูกเล่าซ้ำ โดยอาจจะเปลี่ยนรายละเอียดของพระเอกนางเอกไปบ้าง แต่ดูแล้วหวานสนิทจนต้องเคลิ้ม แล้วถึงกับเชื่อย่างจริงจังว่า วันหนึ่งเราจะเจอคู่ของเราบ้าง เมื่อวันนั้นมาถึงเราคงจะเป็นสุข ไม่แพ้พระเอกนางเอกในนิทานหรือนิยายเลยทีเดียว
ฉากในความฝันของเราออกมาคล้าย ๆ กันทำนองนี้ว่า ในวันที่สวยงามวันหนึ่งเราจะเจอ “Mr. Right” หรือ “Miss Right” ที่เพียงได้สบตาก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ วิ่งพล่านไปทั่วร่าง โลกที่เคยมืดมนอึมครึมก็พลันสดใส ราวกับความทุกข์นานาของมนุษยชาติได้จบสิ้นลง จิตใจที่แห้งผากก็พลันอิ่มเอม ณ เวลานั้นเราได้รู้ทันทีว่าคนนี้แหละ ใช่เลย และก็สิ้นสุดการแสวงหาเสียที ต่อจากนี้ไปชีวิตของเราจะสมบูรณ์และ “เต็ม” ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป (อ่านแล้วพยายามรู้สึกหวานซึ้งหน่อยนะ บังเอิญ Lilith ก็ไม่ค่อยถนัดเขียนอะไรโรแมนติกเสียด้วย ถนัดแต่อะไรโหด ๆ น่ะ)
แต่ในชีวิตจริงของเรา อะไร ๆ มันไม่ยักง่ายอย่างในความฝัน ไม่มีใครมีชีวิตรักเรียบง่ายแบบนั้นสักคน หลายคนมีประสบการณ์ของการพบรักแล้วก็เลิกกันไปหลายครั้งหลายหน เหมือนนิยายเรื่องยาวที่มีทั้งรักเศร้าเคล้าน้ำตา หรือเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นปนกับโศกนาฎกรรมใหญ่เล็กต่าง ๆ นานา ที่จะว่าไปแล้วมันหยดกว่าละครทีวีเสียอีก
สาวน้อยและสาวไม่น้อยจำนวนมากบอกว่า ในชีวิตนี้เจอแต่ “Mr. Wrong” ให้ต้องปวดหัวและปวดใจแล้วก็จบสิ้นกัน เพื่อจะเจอ “Mr. Wrong” คนต่อไป วนเวียนเป็นแพทเทิร์นซ้ำซากอยู่อย่างนี้ บางคนไม่เจอใครเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น “Mr. Right” หรือ “Mr. Wrong” มีแต่ความว่างเปล่าที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นแบบไหน ดูเหมือนความฝันของเราจะไม่เป็นจริงเสียที น่าเศร้าปนสมเพทตัวเองจริง ๆ
คำอธิบายที่ Lilith ได้ยินได้ฟังมักจะเป็นประมาณนี้ พวกที่เจอหนุ่มโหดปนเลวมักจะโทษตัวเองว่าไม่รู้จักดูคนให้ดี ปล่อยให้ความหน้ามืดหรือความหลงเข้าครอบงำจนเห็นซาตานเป็นเทพบุตร บางคนที่เกิดอาการซวยซ้ำซาก เจอแต่คนผิดมาทั้งชีวิต ก็โทษเวรกรรมที่ทำมาแต่ชาติปางก่อนทำให้ไม่มีโชคในเรื่องความรัก (เอ... แต่กรรมแบบนี้แก้กันได้ไม่ใช่เหรอ???) คิดได้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน สบายใจดี
สาวโชคร้ายหลายคนโทษตัวเองว่าไม่ดีหรือบกพร่อง ทำให้หาแฟนไม่ได้ หรือหาได้ก็ค่อนไปทางเลวสุดขีด คำอธิบายแบบนี้ทำให้เจ้าดัวอมทุกข์และต้องดิ้นรนเพื่อจำทำให้ตัวเองน่าสนใจ ดึงดูดใจชาย คิดแล้วก็เหนื่อยแทน แต่เข้าใจได้ว่าความพยายามที่เห็นเป็นเพราะเจ้าตัวเขายังมีหวัง
ในขณะที่บางคนก็โกรธแค้น “Mr. Wrong” และมองว่าเป็นเพราะผู้ชายไม่ดีไม่เข้าท่า ทำให้เราต้องลำบากเดือดร้อน เพราะผู้ชายไม่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของผู้หญิง หรือมีความแตกต่างจากผู้หญิงมากจนสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง (เป็นคำอธิบายแบบ “ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์” ไง) หรือบางคนก็ไม่ได้เรื่องจริง ๆ ไม่มีความรับผิดชอบ เอาแต่ได้ และเราก็โชคร้ายบังเอิญมาเจอคนแบบนี้เข้า ก็เลยต้องลำบากแบบนี้แหละ แต่พวกเธอเหล่านี้ก็ยังเชื่อว่า สักวันจะหมดทุกข์หมดโศก โขคดีเสียที ที่ผ่านมานั้นยังไม่ใช่คู่แท้ เลยต้องแคล้วคลาดกันไป แต่ถ้าได้เจอเนื้อคู่ ก็จะไม่ต้องเจอกับปัญหาหรือความยากลำบากเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้อีกแล้ว
ที่ผู้คนยังพากันยึดมั่นกับความฝันเวอร์ชั่นเดียวแบบนี้ อาจเป็นเพราะโลกนี้ออกจะอยู่คนเดียวได้ยาก เราถูกบังคับให้ต้องอยู่กันเป็นคู่ เพราะใคร ๆ ในสังคมนี้ก็อยู่เป็นคู่กันทั้งนั้น และอะไรต่ออะไรที่คนเขาทำกันก็ไม่ค่อยเอื้อต่อการทำคนเดียวนัก ไหนจะความเหงาสุด ๆ ที่ไม่เข้าใครออกใครอีก การไม่มีคนอยู่ด้วยจึงเป็นเรื่องยาก ทำให้คนยึดติดอยู่กับความฝันว่า วันหนึ่งเราจะเจอหนึ่งเดียวคนนั้นของเรา
น้อยคนนักที่จะหันไปพิจารณาว่า สิ่งที่เราฝันนั้นเป็นจริงได้ยาก จะมีมนุษย์คนไหนในโลกนี้ได้อย่างใจเราไปทุกอย่าง ตัวเรายังทำให้ตัวเองไม่พอใจได้ในหลายเรื่องหลายเวลาเลย คนที่เราเล็งว่าจะเป็น “คนนั้น” ของเรา อาจมีหลายอย่างไม่ถูกใจ แต่ก็มีอีกหลาย ๆ อย่างที่ดีด้วยเช่นเดียวกัน คงต้องหักกลบลบหนี้เอาเองว่าพอไหวหรือเปล่า หรือจะผ่านไปป้ายหน้า
คนประเภท “The One” หรือหนึ่งเดียวคนนี้มีอยู่ก็แต่ในความฝันของเราเท่านั้น คนที่เดินไปเดินมาในโลกรอบตัวอาจจะดูเหมือนที่เราฝันไว้ แต่เขาหรือเธอก็เหมือนได้ในบางเวลาหรือบางแง่มุมเท่านั้น Mr. Right เป็น Mr. Right ได้บางเวลา แต่อีกหลาย ๆ เวลาก็กลายเป็น Mr. Wrong ไปได้เหมือนกัน
นี่ไม่ได้กำลังบอกให้ลดเสป็คลงหรอกนะ แต่คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนที่เราเฝ้าคอยมาทั้งชีวิต เขามีแง่มุมต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขาอย่างสลับซับซ้อน ถ้าจะให้ดีก็น่าจะมองเขาให้เต็ม ๆ ตาว่าเขาเป็นอย่างไร พอจะมีอนาคตบ้างหรือเปล่า แทนที่จะหลับหูหลับตายึดภาพฝันตามความคาดหวังของเราเป็นหลัก ถ้าคุณกำลังทำเช่นนั้น แปลว่าคุณกำลังหลงรักจินตนาการที่คุณสร้างขึ้นเอง ไม่ใช่คนจริง ๆ คนนั้นหรอก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความผิดหวังอย่างแสนสาหัส เมื่อคนนั้นเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง
เพราะความฝันเวอร์ชั่นอมตะนิรันดร์กาลบอกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ถ้าคนคนนั้นเป็นคู่แท้ของคุณก็ต้องเข้ากันได้หรือไปกันได้ดีอย่างไม่มีปัญหา ถ้าคุณเชื่อเช่นนั้น คุณกำลังถูกหลอก! ก็คุณกับพี่น้องท้องเดียวกันยังไม่เหมือนกันหรือไม่ถูกกันเลย แล้วคนคนนั้นของคุณเป็นคนอื่นแท้ ๆ จะให้เข้ากันเป๊ะง่าย ๆ เชียวหรือ
ในที่สุดแล้ว ถ้าอยากให้ฝันเป็นจริงก็ต้องใช้เวลาและความพยายามทำความรู้จักคนนั้นในแบบที่เขาเป็น และเรียนรู้ที่จะปรับเข้าหากันตลอดเวลา เพราะคนแต่ละคนรวมทั้งตัวเราด้วยสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ในแต่ละช่วงเวลา แต่ที่น่าเวียนหัวไปกว่านั้นก็คือ จะทำอย่างไรไม่ให้คนใดคนหนึ่งสูญเสียตัวตนไป เพราะยอมตามอีกฝ่ายไปทุกเรื่องทุกอย่าง จนไม่เหลืออะไรเป็นของตนเอง นี่ก็ทรมานไปอีกแบบนะ โดยเฉพาะเมื่อได้ตระหนักในภายหลังว่าการยอมสูญเสียตัวตนไม่ได้ทำให้เป็นสุขหรือผูกพันคนที่ตนเองรักไว้ได้คู่แท้ที่จะอยู่กันได้แบบในความฝันเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้เกิดขึ้น ไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นเองได้ง่าย ๆ
คนที่เคยผ่านเส้นทางอันยากลำบากนี้มาแล้วตั้งข้อสังเกตว่า การมีคู่ไม่ต่างอะไรกับการซื้อลอตเตอรี่ คือคุณอาจจะถูกรางวัลหรือต้องเสียเงินเปล่า ในที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรแน่นอน แม้ว่าจะพยายามกันเต็มที่แล้วก็ตาม
หลายคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะรู้สึกว่า Lilith ลืมคุณไปหรือเปล่า เพราะคุณแสวงหามาทั้งชีวิตก็ยังไม่มีใครให้ได้ออกแรงสร้างความสัมพันธ์ด้วยเลย ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายมองข้ามคนอื่น ก็ถูกคนอื่น ๆ มองข้าม ยิ่งเวลาล่วงเลยไปก็ยิ่งน่าสยดสยองว่าอาจจะต้องอยู่คนเดียว ไม่ได้มีชีวิตแบบที่ ‘The Dream’ ให้ภาพไว้เป็นแน่แท้
ถ้าคุณกลุ้มใจเพราะเหตุนี้ ก็ขอให้ลองมองตัวเองดี ๆ ว่าที่คุณกลุ้มและกลัวนั้นเป็นเพราะความต้องการของคุณเองแท้ ๆ หรือเพราะคุณกำลังรู้สึกว่าชีวิตของคุณไม่สอดคล้องกับอภิมหาความฝันที่คนอื่น ๆ เขามีร่วมกันแน่ บางทีการไม่มีจของคุณก็อาจจะเป็นอะไรที่ดีในชีวิตก็ได้ เพราะคุณไม่ต้องดิ้นรนและลงทุนลงแรงเหมือนคนที่พยายามจะให้ความฝันเป็นความจริงก็ได้นะ
เอาเข้าจริงความฝันนี้ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคนหรอก บางทีคุณอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่หลุดไปจากพล็อตของความฝันก็ได้ โดยที่ไม่ใช่ความผิดของคุณด้วย แต่เป็นความบกพร่องของความฝันต่างหากที่คับแคบเหลือเกิน และไม่ได้รวมคุณเอาไว้ด้วย
ลองตั้งคำถามกับ ‘The Dream’ บ้าง บางทีชีวิตของคุณจะดีขึ้นและรู้สึกผิดหวังกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตน้อยลง เพราะในที่สุดแล้ว คุณอาจจะเห็นว่าเรื่องรักโรแมนติกนี่มันไม่โรแมนติกหรอกนะ กลับเป็นเรื่องยากเสียอีกที่จะรักษามันไว้
และถ้าคุณยังเชื่อว่าความรักทำให้อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย หรือความรักเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้วละก็ คุณกำลังฝันอยู่...
(Lilith's Voice, แพรวสุดสัปดาห์)
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552
Lilith ไปปิ้งหนุ่มคนหนึ่งเขาหละ ทั้งหล่อทั้งดีมีคุณภาพเลยที่เดียว แต่คุณหนุ่มคนนี้เธอดูจะเฉย ๆ อยู่นะ เห็นกันมาตั้งนานก็ไม่มีที่ท่าอะไรเลย Lilith พยายามจะส่งซิกทุกอย่างทั้งสายตาและคำพูดว่า “ฉันสนใจเธอมากกกกกก….นะ” หนุ่มคนนี้ก็ยังเฉย ๆ อยู่เหมือนเดิม แล้วมันยังไงกันนะ ไม่สนใจเราเลยหรือยังไง จะผ่านเลยไปหาเอาใหม่ดาบหน้าหรือก็เสียด๊าย…เสียดาย… ถ้ายังงั้นลุยเสียเลยดีไหม?
แต่การจีบกันนี่มีกติกาอยู่นะ กติกาข้อแรกคือผู้ชายต้องเป็นฝ่ายเริ่มจีบส่วนผู้หญิงก็สงบนิ่งอยู่ในที่ตั้งรอให้ผู้ชายเขาเป็นฝ่ายรุก ถ้าไม่เล่นตามกติกาก็มีการลงโทษเหมือนฟุตบอลเสียด้วย ทำให้เป็นอะไรที่เล่นยากชะมัด แถมเมื่อไม่สมหวังก็อาจเจ็บลึกปางตาย โอย...ยิ่งคิด ยิ่งน่ากลัวยังไงไม่รู้
เพราะอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ Lilith ต้องคิดหน้าคิดหลังแปดตลบอยู่นั่นแหละ ก็ผู้หญิงไม่ควรเป็นฝ่ายเปิดเกมก่อนนี่น่า ขืนทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอาจได้เปลี่ยนสปีชี่ส์จากคนกลายเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีนอไป คิดๆดูแล้วยอมทำตามกติกาด้วยการนั่งรอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มต้นจะดีกว่า ปลอดภัยดี แต่สำหรับผู้ชายคนที่เราปิ๊งเขาเฉยๆ และทำท่าว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่กับเรา ซึ่งแปลว่าชายหนุ่มคงไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนแน่นอน กรณีนี้เราจะทำอย่างไร ถ้าเป็นคุณ คุณจะตั้งมั่นเป็นฝ่ายรับรอการเปิดเกมจากผู้ชายต่อไป หรือจะเป็นฝ่ายกระโดดเข้าสู่เกมอันน่าตื่นเต้นนี้เสียเอง
แนวโน้มของการไม่ได้อย่างใจเมื่อคนที่เราสนใจทำท่าเฉยๆก็คือ เราจะยิ่งโหยหาอยากได้คนที่เราไม่ได้มากขึ้น คนที่ดูดีน่าสนใจอยู่แล้วก็ยิ่งดีเลิศประเสริฐศรีไปอีกคน เพราะดีๆถูกใจเราก็ไม่ใช่อะไรที่พบเจอได้ง่ายๆเสียด้วย เป็นไปได้ว่า อีก 10-20 ปี จากนี้เราอาจไม่ได้เจอใครแบบนี้อีกแล้ว และจะมีความสงสัยค้างคาอยู่ในใจว่า ถ้าตอนนั้นเรายอมเสี่ยงหน้าแตก แสดงความในใจให้ปรากฏชัดเจนกับหนุ่มน่ารักคนนั้นเสีย เขาอาจจะโอ.เค.จนมีความสัมพันธ์อันยืดยาว ทำให้ชีวิตเราสุขกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ คนนี้อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเรา แต่เรากลับปล่อยให้โอกาสผ่านไป แล้วต้องไปลงเอยกับคนที่ดีน้อยกว่านี้ในอนาคต อย่ากระนั้นเลย เสี่ยงลุยเสียแต่ตอนนี้ดีกว่า จะได้รู้ไปว่าแท้ที่จริงคนคนนี้คิดอย่างไรกับเรา จะได้ไม่ต้องมานั่งสงสัยในอนาคต
นอกจากนี้อาการวางเฉยของผู้ชายก็มีความหมายได้หลายอย่างนะ คุณหนุ่มคนนั้นเธออาจจะขี้อายไม่กล้าเริ่มต้นก่อนก็ได้ ผู้ชายจำนวนมากกลัวการถูกปฏิเสธจากผู้หญิง คือยอมรับอาการ “แห้ว” ไม่ค่อยได้ เพราะกลัวเสียใจ กลัวเสียหน้า หรือเสียความเชื่อมั่นในตัวเองมากบ้างน้อยบ้าง คงนึกออกนะว่าถ้าคนที่เราสนใจเขาตอบกลับมาว่า “ฉันไม่ชอบเธอหรอก” (หรือจะให้นุ่มนวลกว่านั้นก็อาจจะบอกว่า “เราเป็นเพื่อนกันก็ดีแล้วนี่นะ” อย่าเป็นอย่างอื่นเลย แต่ผู้สันทัดกรณีคนหนึ่งบอกว่า ถ้าตอบอย่างนุ่มนวลอย่างนี้ยังพอมีหวังนะ เพราะไม่ได้ตัดให้ขาดสะบั้นไปเลยทีเดียว) เราจะรู้สึกอย่างไร คงทั้งเซ็งทั้งเศร้าใช่ไหม
อาการเฉย ๆ ค่อนไปทางบื้อของผู้ชายอาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ ซึ่งมีรากฐานมาจากความไม่ค่อยฉลาดและ/หรือไม่ค่อยเฉลียวของผู้ชายคนนั้นก็ได้อีกนั่นแหละ ผู้ชายบางคนดูไม่ออกจริง ๆ ว่าผู้หญิงมีทีท่าหรือสนใจ เพราะไม่คุ้นเคยกับท่าทีของผู้หญิงหรือเอาแต่อ่านผู้หญิงจากวิธีคิดของผู้ชาย มองผู้หญิงเหมือนมองผู้ชายที่เป็นเพื่อนเลยอ่านมารยาหญิงไม่ค่อยออกหรือตีความผิดไป บางคนอาจจะเป็นเอามากถึงขนาดว่าผู้หญิงทิ้งผ้าเช็ดหน้าเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ (แปลว่าอ่อยน่ะ) ก็ยังอุตส่าห์เดินข้ามหรือเหยียบผ้าเช็ดหน้านั้นเสียได้ อย่างนี้ก็มี
สรุปก็คือการที่ผู้ชายวางเฉยต่อความสนใจของเรามีความหมายได้หลายอย่างที่อาจจะไม่ใช่การปฏิเสธเราเสียทีเดียวก็ได้ เมื่อบวกกับความเสียดายว่าคนนี้อาจจะดีที่สุดในชีวิตนี้แล้วก็ได้ (อะไรที่ไม่ได้มาก็มักจะมีค่ามากอย่างนี้แหละ) ทำให้ผู้หญิงบางคน เช่น Lilith เป็นต้น มุมานะเล่นบทฝ่ายรุกบ้างเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในชีวิต และจะได้ไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจต่อไป
ผลลัพธ์ของการรุกเป็นไปได้หลายอย่าง บางทีก็เป็นแฮปปี้เอ็นดิ้งได้เหมือนกัน เพราะฝ่ายหนุ่มรู้สึกประทับใจและมีค่าเมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน หรือบางหนุ่มอาจจะมีใจอยู่บ้างแล้ว การรุกของฝ่ายหญิงจึงทำให้อะไร ๆ ง่ายขึ้น
แต่ในอีกหลาย ๆ กรณีเรื่องจบลงอย่างเศร้าแกมสยดสยอง เมื่อผู้ชายไม่เล่นด้วยไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่สนใจผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ หรือเพราะเหตุอื่น ๆ ระดับความเศร้าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวิธีการโต้ตอบหรือปฏิเสธของผู้ชาย แต่ก็มีสาว ๆ หลายคนที่เคยเล่นบทฝ่ายรุกบอกว่าไม่ว่าผู้ชายจะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลน่ารักขนาดไหน ก็เศร้ามากอยู่ดี เพราะรู้สึกทั้งเสียใจและไร้ค่า อาการแห้วไม่ว่าจะเพราะอะไรและอย่างไรทำให้เราเจ็บทั้งนั้น
หนุ่ม ๆ หลายคนไม่ชอบและรับไม่ได้กับการเป็นฝ่ายรุกของผู้หญิง พวกนี้ชอบเล่นอยู่ในเกมที่กำหนดชัดเจนว่าใครควรจะทำอะไร เกมการจีบกันที่เราคุ้นเคยกำหนดให้การเริ่มต้นจีบหรือการแสดงความสนใจเป็นเรื่องของผู้ชาย โดยบอกเราว่าผู้หญิงต้องทำตัวให้น่ารักน่าปรารถนาเพื่อให้ผู้ชายสนใจ เรายังเชื่อด้วยว่าสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงคือการเลือก โดยผู้หญิงต้องเลือกคนดี ๆ จากบรรดาคุณผู้ชายที่มาแสดงความสนใจหรือรุมจีบ แต่ถ้าคิดให้ดี ๆ ก็น่าสงสัยนะว่าใครเป็นฝ่ายเลือกใครกันแน่ โดยบทบาทของการเป็นฝ่ายเริ่มต้นผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกว่าจะจีบหรือไม่จีบใคร ผู้ชายต่างหากที่เป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง โดยผู้หญิง (บางคน) อาจจะมีโอกาสได้เลือกผู้ชายบ้างจากกลุ่มคนที่เดินเข้ามาหาหรือมาจีบเท่านั้น ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปไม่น่าจะมากนัก และเป็นการเลือกหลังจากที่ผู้ชายเขาได้เลือกก่อนแล้วว่าจะจีบหรือไม่จีบเรา
อย่าลืมว่าผู้หญิงทุกคนไม่ได้เจ้าเสน่ห์ไปหมด บางคนรอทั้งชาติก็ไม่มีคนมาจีบ พอมีหลงมาสักคนก็ต้องรีบคว้าไว้ไม่เช่นนั้นก็ต้องสถิตย์อยู่บนคานทองนิเวศน์ตลอดไป สาว ๆ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวกไม่มีโอกาสได้เลือกอย่างนี้เสียมากกว่า แต่เป็นฝ่ายรอว่าอะไรก็ตามที่พลัดหลงเข้ามาก็ต้องคว้าไว้ และคนที่หลงเข้ามาก็อาจจะไม่ใช่คนที่เราพออกพอใจ แต่ต้องทำใจให้ชอบเพราะอาจจะไม่มีใครหลงเข้ามาอีก (อ่านแล้วเวียนหัวไหม?)
แต่การฮึดของสาวบางคนที่จะเพิ่มช้อยส์ให้ตัวเองด้วยการเล่นบทรุก อาจจะทำให้หนุ่ม ๆ ที่เป็นเป้าหมายตกใจกลัวและเผ่นป่าราบไปมากกว่าที่จะต่อไมตรีด้วยเผื่อจะเวิร์ค หนุ่มพวกนี้หลงติดอยู่กับภาพของนางในฝันประเภทสาวน้อยแสนหวาน เรียบร้อยขี้อายเป็นฝ่ายรับหรือช้างเท้าหลังที่ดีอะไรทำนองนั้น พอมาเจอผู้หญิงเป็นฝ่ายรุกก็ต้องตกอกตกใจบ้างเป็นธรรมดา แล้วพาลมองว่ายายคนนี้ท่าจะไม่ใช่ผู้หญิงดีๆกระมัง จึงได้มาไล่ล่าผู้ชายขนาดนี้ แล้วก็ลุกขึ้นวิ่งหนีไปตามฟอร์ม
และด้วยความกลัวนี้เองทำให้ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงจีบบางคนโต้ตอบด้วยท่าทีไม่น่ารักหรือถ้อยคำที่รุนแรง ก็เขาคิดว่าผู้หญิงที่เป็นฝ่ายรุกไม่น่าจะเป็นคนดีนัก เพราะไม่เล่นตามกฎกติกามารยาทของการจีบกันนี่น่า สาวๆที่อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเปิดเกมกับหนุ่มที่ตัวเองสนใจก่อนเลยต้องเศร้าสนิท เมื่อถูกตัดไมตรีอย่างไม่เหลือเยื่อใยด้วยคำพูดที่แปลได้ว่า “ผมไม่สนใจ อย่างมายุ่งกับผม” ...แค่คิดก็เศร้าแล้วเนอะ
สาวๆที่เจออะไรทำนองนี้พยายามเข้าใจชายหนุ่มขี้กลัวพวกนี้หน่อยแล้วกัน ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเราสักนิด คงพอเข้าใจได้ว่าการเจอกับอะไรที่เราไม่คุ้นเคยนี้ทั้งอึดอัดและน่ากลัวนะ พอผสมเข้ากับความไม่ชอบไม่พิศวาทคนที่เริ่มรุกเข้าไปอีกเลยยิ่งไปกันใหญ่ สาว ๆ ทั้งหลายก็คงจะเคยร้ายกาจกับหนุ่มที่ตัวเองไม่ชอบแล้วมาตามจีบอยู่เหมือนกันใช่ไหม?
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการที่หนุ่มเหล่านี้มองสาวนักรุกเป็นผู้หญิงไม่ดี และอาจจะกระจายข่าวป่าวประกาศความไม่ดีให้เป็นที่รู้ทั่วกันเสียอีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความห่ามของสุนัขที่ตั้งรกรากอยู่ในปากของเขาคนนั้น ถ้าบังเอิญโชคร้ายไปเจอเอาหนุ่มที่ทั้งขวัญอ่อนและปากมากก็ต้องทำใจว่าเราไม่เคารพกฎกติกาของเกมนี้ ก็เลยต้องโดนลงโทษเข้าให้บ้าง การถูกมองไม่ดีก็เป็นการลงโทษอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใจถึงพอก็อย่าหลุดออกนอกกรอบมาเล่นเกมรุกเป็นอันขาด เจ็บตัวเจ็บใจเปล่า ๆ เล่นตามกติกาต่อไปรอลูกฟลุ้คเอาก็แล้วกัน
อ่านมาถึงตรงนี้คนที่กำลังอินเลิฟและอยากจะเพิ่มโอกาสให้กับตัวเองอาจจะห่อเหี่ยวหมดกำลังใจไปแล้ว อย่าเพิ่งกลัวนะคะ…ของอย่างนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ แต่ก่อนจะลองก็ถามตัวเองให้ดี ๆ ก่อนว่าเราอึดพอที่จะรับความเจ็บนานาประการที่จะเกิดขึ้นถ้าหนุ่มเขาบังเอิญไม่เล่นด้วยหรือเปล่า และหนุ่มคนนั้นคุ้มค่าความเสี่ยงต่อการเจ็บตัวเจ็บใจนี้หรือเปล่า ของอย่างนี้ไม่มีใครบอกใครหรือคิดแทนกันได้หรอก คุณเองนั่นแหละรู้คำตอบดีที่สุด ถ้าเกมรุกของคุณประสบความสำเร็จคุณคงจะแฮปปี้พอควร จะสุขมากสุขน้อยก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว
แต่ก็อย่าลืมเตือนตัวเองว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ ถ้าบังเอิญเรื่องของเราจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมประดับโลกนี้อีกหนึ่งเรื่องก็ถือเสียว่าโชคไม่ดีก็แล้วกัน และต้องรับกับผลของการไม่เล่นตามกฎด้วย
จะว่าไปแล้วการเล่นเกมรุกนี่ก็ไม่ใช่อะไรที่ทุกคนทำได้หรือเหมาะกับทุกคนหรอก ต้องคนกระดูกแข็ง ๆ ความอดทนมาก ๆ และพอมองเห็นถึงความเสี่ยงและราคาของการแหกกฎเท่านั้นที่พอจะเล่นได้โดยไม่บอบช้ำเกินไป เรื่องนี้คงต้องไปประเมินกันเอาเองนะ
หลังจากตรวจสอบตัวเองดี ๆ แล้ว คุณอยากจะเล่นเกมรุกหรือเกมรับกันคะ ว่าง ๆ ก็เล่าให้ Lilith ฟังบ้างแล้วกัน…
เพื่อนรักคนหนึ่งของ Lilith ชื่อ Helen (คนนี้เป็นแฟนกับเจ้าชายชื่อ Paris ไม่ใช่นางแบบหรือนางงามที่เรารู้จักหรอกนะ) ผู้แสนจะโชกโชนในเรื่องความรักความสัมพันธ์ เพิ่งจะมาปรับทุกข์ว่าเลิกกับแฟนคนล่าสุดเสียแล้ว และเศร้าจนเสียน้ำตาไปหลายหยด พร้อมกับบ่นเข็ดหลาบในความรัก เพราะความรู้สึกดี ๆ ในตอนแรก ๆ หายไปอย่างรวดเร็ว เหลือแต่อะไรที่ทั้งทุกข์ทั้งไม่สนุกเลย แถมยังโดน “ทิ้ง” เสียอีกทำให้เซ็งชีวิตและเบื่อตัวเองเป็นที่สุด
เวลาผ่านไปไม่นานนักเธอคนเดิมเริ่มจะบ่นอยากจะมีแฟนอีกแล้ว คราวนี้ลงทุนหาอะไรใหม่ ๆ ทำ ตั้งแต่เป็นสมาชิก Health Club ไปจนถึงเข้าถึงเธค – บาร์ – ผับ สารพัดรูปแบบ แถมยังคิดจะไปเรียนปริญญาโท เผื่อจะเจอผู้ชายดี ๆ มีคุณภาพบ้าง
Lilith ก็ช่วยลุ้นไปด้วยตามประสาเพื่อนที่ดี แต่ก็อดมหัศจรรย์ใจในอาการไขว่คว้าหาความรักอย่างเอาเป็นเอาตายของเพื่อนรักคนนี้ไม่ได้ คำอธิบายของเธอก็คือความรักทำให้เธอรู้สึกดี รู้สึกเต็มและมีชีวิต ในขณะที่การอยู่คนเดียวแบบไม่มีใคร (คือไม่มีแฟน) ออกจะเหงาและว่างเปล่า ไม่เต็มสมบูรณ์เหมือนมีใครบางคนในชีวิตเหมือนเวลามีความรัก
ว่ากันว่าผู้หญิงมักจะสวยขึ้นเมื่อมีความรัก ผิวพรรณก็ดีอะไรประมาณนั้น ดูเหมือนความรักจะทำให้เกิดอะไรดี ๆ หลายอย่าง แม้ว่าจะมีคำเตือนมากมายเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่ไม่ดีของความรัก เช่นอาการไร้สติ ทำอะไรตามอารมณ์และเสียงานเสียการ ไปจนถึงการทำลายล้างเมื่อไม่ได้อย่างใจด้วย ก็อย่างที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่าความรักทำให้คนตาบอดไง (จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้เห็นอะไรชัดเจนนักเมื่อไม่มีความรักหรอกนะ)
คงเพราะความรู้สึกดี ๆ หลายอย่างที่เราได้รับเมื่อมีความรัก ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายจำนวนมากเกิดอาการติดความรักอย่างจริงจังเหมือนติดฝิ่นเลยนะ เขาและเธอเหล่านี้ถึงกับยอมทนกับการถูกรังแกทางกายทางใจสารพัดรูปแบบเพื่อที่จะรักษาคนที่คิดว่าตนเองรักไว้ แบบว่าร้ายยังไงก็รักเลยทีเดียว เอาเป็นว่าถ้าพวกเราบางคนเจอกับอะไรแบบนั้นจากคนที่เราไม่ได้รู้สึกดีด้วยมาก ๆ คงได้มีการลงไม้ลงมือแสดงแสนยานุภาพให้เป็นที่ปรากฏไปแล้ว แต่เธอและเขาเหล่านี้กับยอมทน
เมื่อสูญเสียคนรักไปไม่ว่าจะเป็นเพราะทนไม่ไหวเลยต้องเลิกหรือเพราะถูกทิ้ง ก็ต้องรีบร้อนดิ้นรนหาคนใหม่มาเป็นเป้าหมายทดแทน เอาเป็นว่าขาดความรักไม่ได้เลยก็แล้วกัน
ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือหลายคนมีอาการเห็นเพียงแว็บเดียวก็รักแล้ว ไม่ต้องพูดจาทำความรู้จักก็ได้ และแว็บเดียวนี้เองทำให้คลั่งไคล้ใหลหลงอยากได้เธอหรือเขาคนนั้นมาเป็นของเรา และพร้อมจะทำทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา
เขาและเธอมีอาการหัวใจเต้นแรงเมื่อได้พบหรือเพียงแอบเห็นคน ๆ นั้น นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เฝ้าแต่คิดถึงคนที่เป็นเป้าหมายในใจ แต่ก็ดูสดใสไม่ทรุดโทรม ใบหน้าเปล่งปลั่งสวยหรือหล่อขึ้นอีกต่างหาก ไม่เหมือนกับคนที่อดหลับอดนอนแม้แต่น้อย นอกจากนี้ยังออกอาการอารมณ์ดีตลอดเวลา จนยิ้มคนเดียวได้แบบเคลิ้ม ๆ ออกอาการใกล้เคียงคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น
ก็นั่นแหละนะ คนฉลาดบางคนบอกว่าเส้นแบ่งระหว่างความรักแท้และความบ้าออกจะบางและลางเลือนมาก คนมีความรักจึงแสดงอาการแปลก ๆ ในสายตาของคนที่ชีวิตแห้งแล้งไม่มีความรักทั้งหลาย เราได้เห็นคนอื่นและตัวเราเองยอมทำทุกอย่าง สละได้ทุกอย่างโดยไม่นึกถึงสิ่งที่จะตามมาเพื่อจะให้ได้อยู่ใกล้ ได้เห็นหน้า หรือเพื่อจะทำให้คนที่เรารักมีพอใจ
เรื่องเล่ามากมายที่เราได้รับรู้เป็นเรื่องของอานุภาพของความรัก ที่เพราะความอยากจะได้สมปรารถนาทำให้เกิดความวินาศวอดวายกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่เราพอจะคุ้นกันบ้างคงเป็นเวอร์ชั่นไทยปนแขกอย่างรามเกียรติ์ ที่ด้วยความรัก (ปิ้ง) นางสีดาทำให้ทศกรรณทุ่มสุดตัวจนวงศาคณายักษ์แทบล่มสลายเลยทีเดียว นี่ถ้านางสีดาเธอกลายเป็นแฟนกับทศกรรณเสีย ทศกรรณอาจจะเป็นฝ่ายเบื่อและบอกเลิกภายในสามเดือนหกเดือนก็ได้ ความรักที่ไม่ได้สมใจก็มีพลังอย่างนี้แหละ
(ขอนอกเรื่องสักนิดเถอะ พวกเราคงยังจำ “นางนาก” ได้ใช่ไหม คนที่ตายท้องกลมแล้วเป็นผีที่ถูกสร้างเป็นหนังให้พวกเราดูหลายรอบแล้วไง รอบล่าสุดก็ประสบความสำเร็จอย่างมากมายมหาศาล พวกเราเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าคุณนากเธอเกิดไม่ตายตอนคลอดลูกจะเกิดอะไรขึ้น Lilith ว่าตาพ่อมากคงจะไปมีเมียน้อยอีกหลายคน ปล่อยให้คุณนากเลี้ยงลูกในตำแหน่งเมียหลวงอยู่กับบ้าน ไม่กลายเป็นเรื่องรักอมตะให้พวกเราต้องน้ำตาซึมเมื่อทั้งสองต้องลาจากกันอย่างที่เราได้ดูในหนังหรอก)
มีบางคนบอกว่าไอ้สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี ๆ ได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ความรักหรอกนะ แต่เป็นความหลงบวกความตื่นเต้นในอะไรใหม่ ๆ ต่างหาก แถมยังมีความรู้สึกมีค่าเป็นที่ปรารถนาของบางคนปน ๆ เข้ามาอีก เลยทำให้ทั้งเคลิ้มทั้งเพ้อกันได้ขนาดนั้น
แต่ไม่ว่าสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดีมากกก….ขนาดนั้น…จะเป็นความรักหรือความหลง ก็ดูจะอายุไม่ยืนนัก (มีแต่ความรักที่ไม่สมหวังหรือไม่ได้มาเท่านั้นแหละที่จะเป็นอมตะอยู่ในใจเราตลอดไป) โดยเฉพาะเมื่อเรา “สมหวัง” คือได้คนที่เราไปตกหลุมรักมาเป็นของเราในฐานะแฟนหรืออะไรที่เป็นทางการกว่าแฟน ไม่นานนักหรอกอาการใจเต้นแรง นอนไม่หลับ พร่ำเพ้อละเมอหาก็จะหายไปเป็นปลิดทิ้ง ทีนี้ละปัญหานานาประการจะเข้ามาแทนที่ กลายเป็นความปวดหัวปนน่าเบื่อหน่าย เพราะคนที่เราได้มาทำท่าจะเป็นคนละคนกับคนที่เราหลงรักเป็นบ้าเป็นหลังไปเสียแล้ว
ปัญหาและความทุกข์ที่จะตามมาหลังจากหมอกควันของความรักความหลงจางลงจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับโชคหรือเคราะห์ของแต่ละคน ถ้าโชคดีสักนิดปัญหาหลักก็จะเป็นเรื่องของการพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องหรือความเบื่อเมื่อคนที่เรารักไม่ได้อย่างใจ ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งปรับความเข้าใจกันบ่อย ๆ แต่สำหรับคนโชคร้ายที่ไปเจอคนไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก แต่เราดันไปหลงรักเขาอย่างจับใจจนทำทุกอย่าง สละทุกอย่างให้ได้เพียงขอให้เธอหรือเขาคนนั้นเป็นสุข สิ่งที่ได้รับตอบแทนมาอาจจะเป็นการทำร้ายจิตใจ (หรือบางทีก็ร่างกายด้วย) อยู่ตลอดเวลาทั้งโดยคำพูดและการกระทำ ความรักสำหรับคนพวกหลังนี้กลายเป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสไปในที่สุด
ตอนจบของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและระดับความอดทนของแต่ละคน แต่เมื่อคนหลุดจากความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นสุขมาได้ไม่นานนักก็มักจะเริ่มมองหา “ความรัก” อีกแล้วพร้อมกับเชื่ออย่างจริงจังเสียด้วยนะว่าคราวต่อไปต้องดีกว่านี้แน่
คนหลายคนมีโอกาสเข้า ๆ ออก ๆ จากความรักความสัมพันธ์หลายครั้งหลายหนในช่วงชีวิตหนึ่ง ทำให้ได้รู้สึกถึงความเต็มตื้นหวานซึ้งของความรักในช่วงเริ่มต้น ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นปัญหาและความเจ็บปวดจนต้องถอยออกมาในที่สุด เพื่อที่จะไปมองหาคนใหม่และความรักใหม่เข้ามาแทนที่ กลายเป็นวงจรอุบาทว์อย่างไรอยู่ แต่ก็ไม่มีใครเข็ดหลาบอย่างจริงจังหรอกนะ คนส่วนใหญ่ก็ยังมองหาความรักและคนที่จะรักกันอยู่เหมือนเดิม ไม่ค่อยจะมีใครยอมทลายวงจรอุบาทว์ในชีวิตของตนเองกัน
ที่ความรักกลายเป็นเรื่องสำคัญและเราติดความรักกันงอมแงมขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกดี ๆ ที่ทั้งสวยงามและอบอุ่นของการมีความรัก แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าสังคมของเราบังคับให้คนต้องอยู่กันเป็นคู่ ด้วยเหตุผลหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องของการเลี้ยงและดูแลเด็ก คนที่ไม่มีคู่จึงออกจะอยู่ลำบาก เพราะความเหงา (ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จัดการได้ยากเช่นเดียวกัน)และขาดการสนับสนุนทางกายทางใจ ความจำเป็นเช่นนี้ผลักให้คนต้องมองหาคนเป็นเพื่อนใจเพื่อจะได้ไม่เหงาจนเกินไป โดยความเข้าใจผิดว่าการมีคู่ร่วมชีวิตจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการกับความเหงา หารู้ไม่ว่าการมีคู่ที่ไม่ค่อยเข้าท่านอกจากจะทำให้เหงาเหมือน ๆ กับคนไม่มีแฟนแล้วยังอาจจะต้องปวดหัวปวดประสาทมากกว่าเพราะปัญหาของความสัมพันธ์ด้วย แต่เพียงเพราะอยากมีคนอยู่ด้วย ไม่อยากอยู่คนเดียว ทำให้คนไม่เข็ดหลาบกับความรักความสัมพันธ์
แต่การโหยหาความรักและติดอยู่กับวงจรของความรักและการเลิกรักกับคนที่ผ่านมาในชีวิตหลาย ๆ คนเข้า ก็ทำให้บางคนเห็นว่าความรักแต่ละครั้งเป็นเรื่องของความรู้สึกแบบเดิม ๆ เพียงแต่คนที่เป็นจุดหมายหรือเป็นฝ่ายรับเปลี่ยนไป เราตื่นเต้น คิดถึง อยากอยู่ใกล้ อยากได้มา และไม่อยากเสียคนที่เรารักไปและอะไรทำนองนี้ที่เป็นแบบเดิม ๆ ทุกครั้งที่มีความรัก ดูเหมือนความรู้สึกรักของเราจะมีแบบเดียวแต่ผลิตซ้ำ ๆ เหมือนซีร็อกซ์หลาย ๆ หน บางทีคนที่เรารักอาจจะไม่ได้พิเศษหรือสำคัญนัก ใครก็ได้ที่บังเอิญเดินผ่านเข้ามาในชีวิต ขอให้เราได้รู้สึกถึงอะไรดี ๆ ที่เป็นอาการของการมีความรักก็พอ ความรู้สึกของการมีความรักต่างหากที่ดึงดูดเราและทำให้เรารู้สึกดี จนโหยหาความรู้สึกเช่นนั้นอีก แม้ว่าจะถูกทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัส ก็ยังอยากจะมีความรู้สึกดี ๆ ของการตกหลุมรักอีก เพราะในช่วงต้นเมื่อความตื่นเต้นและความพิเศษยังชัดเจนนั้น เรารู้สึกดีจริงๆ
เป็นไปได้ไหมว่าเราไม่ได้รักคนหรอกนะ แต่เราตกหลุมรักการได้รู้สึกรักต่างหาก เพราะความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เรารู้สึกดีและมีชีวิต จนอยากจะรู้สึกเช่นนั้นอีกไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
แล้วคุณละ ตกหลุมรัก “ความรัก” อยู่เหมือนกันหรือเปล่า?…
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552
กลับมาที่คำถามของสาว (ไม่) น้อยคนนั้นดีกว่า… สาว (ไม่) น้อยคนนี้หลงรักคน ๆ หนึ่งอย่างหัวปักหัวปำ แต่เวลาผ่านไปนานพอควร คนนั้นเขาก็ไม่ได้มีที่ท่าตอบสนองในทางบวกเลยแม้แต่น้อย สาว (ไม่) น้อยของเราพยายามทุกรูปแบบที่จะเผยความในใจให้คน ๆ นั้นรู้และเห็นใจ จะว่าไปแล้วคนนั้นเขาก็รู้นะแต่บังเอิญไม่เห็นใจ ของแบบนี้ก็ไม่รู้จะว่ายังไง เรื่องนี้วุ่นวายปนเศร้ามากขึ้นเมื่อมีคนอีกคนหนึ่งเกิดมาปิ้งสาว (ไม่) น้อยของเราเข้า และก็พยายามจะทำทุกอย่างให้เธอรู้และเห็นใจบ้าง ทีนี้ก็ยุ่งละสิ เพราะเธอรำคาญคนหลังนี่เป็นที่สุดและก็พยายามจะวิ่งไล่ตามคนแรกที่เธอไปหลงรักแบบไม่ยอมเปลี่ยนใจเข้า แล้ววันหนึ่งที่เธอเหนื่อยกับการวิ่งตามและเริ่มจะรู้สึกสิ้นหวัง เธอก็ถาม Lilith ว่าเธอจะทำอย่างไรดี จะกัดฟันพยายามกับคนแรกที่เธอแสนรักต่อไปเผื่อว่าฝันจะเป็นจริงสักวันหนึ่ง หรือว่าหันไปหาอีกคนที่เฝ้าเพียรพยายามจะทำให้เธอมีใจตอบดี
ถ้ามีคนถามคุณแบบนี้ คุณจะตอบเขาหรือเธอว่ายังไงดี?
Lilith ว่าโลกนี้ไม่ค่อยจะพอดีเท่าไรนักนะ โดยเฉพาะเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นี่ยิ่งไม่ค่อยพอดี ไม่อย่างนั้น Lilith คงไม่ได้หน้ากระดาษตรงนี้มาเพื่อส่งเสียงร้องป่าวเกี่ยวกับปัญหาหัวใจของชาวบ้านอย่างนี้หรอก ลองคิดดูนะว่าบนเส้นทางการผจญภัยในยุทธจักรของความรักความสัมพันธ์ในชีวิตของคุณมีกี่ครั้งที่คุณไปหลงรักคนที่เขาไม่แม้แต่จะมองเห็นคุณ และคนที่คุณไม่ปิ๊งแม้แต่น้อยกลับมาหลงรักคุณอย่างหัวปักหัวปำ ทำให้คุณได้ออกอาการเจ็บปนรำคาญอย่างไรอยู่เหมือนกับสาวน้อยของ Lilith นี่ไง ในสถานาการณ์แบบนั้นคุณอาจจะเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้บ้างก็ได้
ที่หนึ่งที่คนมักจะได้คำตอบเกี่ยวกับชีวิตรักของตนคือจากภาพยนตร์ (ไม่ใช่แมกกาซีนหรอกนะ เสียใจด้วยคุณบ.ก.) หนังไทยและฝรั่งหลาย ๆ เรื่องดูเหมือนจะให้คำตอบที่ไม่ชัดเจนนัก ถ้าในหนังเรื่องนั้นนางเอกเป็นฝ่ายหลงรักและคนที่ไม่รักตอบเป็นพระเอก หนังเรื่องนั้นก็จะบอกเราว่าให้สู้ตายค่ะ เดี๋ยวก็ดีเอง แต่ถ้านางเอกไปหลงรักคนที่ไม่ใช่พระเอกหรือหนุ่มที่ไม่ใช่พระเอกมาหลงรักนางเอก หนังก็จะบอกให้ “ลืมเสียเถิด อย่าไปหลงรักเขาต่อไปเลย” เพื่อจะให้นางเอกไปลงเอยกับพระเอก และบางทีก็มีการให้รางวัลปลอบใจกับตัวประกอบอกหักด้วยการให้มีหญิงสาวผู้แสนดี (แต่ไม่เริ่ดเท่านางเอก) เข้ามาช่วยดามอก
ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์รักเขาข้างเดียวแบบสามเส้านี้บ้าง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเส้าไหนคือพระเอกหรือนางเอกตัวจริงที่เราควรจะเลือก ที่แย่ไปกว่านั้นคือเราเองอาจจะไม่ใช่พระเอกนางเอก แต่เป็นตัวประกอบที่ต้องเป็นฝ่ายหลีกทางให้ตัวเอกของเรื่องก็ได้ ในที่สุดก็ต้องคิดและตัดสินใจเรื่องยาก ๆ แบบนี้เอาเอง ลองมาชั่งน้ำหนักกันดีกว่าว่าแต่ละทางเลือกของเราเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นธรรมดาพวกเราส่วนใหญ่พออกพอใจกับคนที่เราหลงรักมากกว่าคนที่เราไม่สนใจ ของยังงี้มันแหงอยู่แล้ว แต่คนนั้นเขาเฉย ๆ กับเรานี่นะ ถ้าจะใช้นโยบาย “สู้ตายค่ะ” ก็ต้องทำใจไว้เยอะ ๆ ว่าคนที่เราเฝ้าหลงรักอาจจะไม่ได้ชื่นชมปลาบปลื้มกับความพยายามจะเอาอกเอาใจและการแสดงความรู้สึกของเรานัก แถมจะออกอาการรำคาญให้เราช้ำหนักเข้าไปอีกก็ได้นะตัวเอง และความที่เขาไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับเรา เขาก็มักจะไม่รักษาน้ำใจเราและไม่สนใจใยดีอะไรกับเราสักน้อยนิด ความห่วงใย คิดถึงและอยากอยู่ใกล้ที่เราทำในรูปแบบต่าง ๆ เช่นโทรไปหา ฯลฯ ถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ ความไม่รักไม่สนใจทำให้อะไร ๆ ที่เกี่ยวกับเราและอะไรที่เราทำดูไม่น่ารักไปหมด เจออย่างนี้เข้าคุณก็คงจะทั้งเสียใจและน้อยใจอยู่บ่อย ๆ
บางคนที่โชคร้ายหนัก ๆ ก็อาจจะถูกคนที่เฝ้าหลงรักหลอกให้ทำนั่นนี่โน่นแบบคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ทำทุกอย่างให้ฟรี ๆ ไปเสียอีก แถมยังทำดีด้วย Lilith เคยเห็นสาวน้อยหน้าใสคนหนึ่งเฝ้าเอาอกเอาใจหนุ่มที่เธอหลงรักในร้านอาหาร แต่ฝ่ายหนุ่มไม่ได้แสดงอาการยินดีหรือพอใจใด ๆ ทั้งสิ้น แถมยังตะคอกสาวน้อยอย่างหยาบคายราวกับสุนัขสำรากของโสโครกอย่างไรอย่างนั้น ฉากเศร้านี้ดำเนินไปครู่ใหญ่ก่อนที่หนุ่มโหดคนนั้นจะพลุนพลันลุกหนีไปด้วยความโกรธและขัดหูขัดตากับทุกอย่างที่สาวน้อยพยายามทำ สาวน้อยคงจะสุดทนกับอารมณ์เถื่อนและความไม่ใยดีนั้นน้ำตาเธอจึงไหลรินอาบแก้ม เธอเฝ้าเดินตามหนุ่มคนรักและร้องไห้ไปด้วยอย่างไม่อับอายคนที่เดินผ่านไปมา ฝ่ายหนุ่มโหดยิ่งโกรธนักที่สาวน้อยน้ำตาร่วง (คงจะหน้าบางอายคนที่แอบดูหรือมองดูฉากโหดนี้อย่างเปิดเผยกระมัง) จึงยิ่งทั้งขู่ทั้งด่าด้วยเสียงอันดังชนิดที่ทำให้คนที่เห็นเหตุการณ์สรุปได้ในใจว่านอกจากจะโหดแล้ว บุพการีที่บ้านคงสั่งสอนมาน้อยด้วย
คุณเคยถูกทำร้ายความรู้สึกโดยคนที่คุณรักขนาดนี้หรือเปล่า ในเวลาแบบนั้นคุณคงรู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยไร้ค่าของเราที่ทำให้ทั้งเจ็บทั้งเหนื่อยเลยนะ ก็แบบที่พี่เบิร์ดถามในเพลง “เหนื่อยไหม” นั่นแหละ แต่เอาเป็นว่านี่เป็นสถานการณ์ที่คุณจะเจอถ้าคุณเลือกที่จะเล่นบทตื้อคนที่เขาไม่รักคุณ เพราะความที่เขาไม่รักเขาก็เลยทำร้ายความรู้สึกของคุณได้ตลอดเวลาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ยิ่งถ้าไปเจอคนประเภทเดียวกับหนุ่มโหดคนนั้นก็จะยิ่งแย่หนักขึ้นไปอีก แม้ว่าคนที่คุณรักจะไม่โหดแบบนั้น และคุณก็มักจะยินดีที่จะทำให้คนที่รักมีความสุข แต่การได้รับรู้ความจริงอยู่ตลอดเวลาว่าคน ๆ นั้นเขาไม่รักเราสักนิด หรือไม่ได้รู้สึกกับเราอย่างที่เรารู้สึกกับเขาก็เจ็บแล้วนะ มีพวกซาดิสต์บางคนบอกว่า ในความเจ็บปวดนั้นเขาก็เป็นสุขที่ได้แสดงออกถึงความรักความอาทรต่อคนที่เขารักเช่นนั้น และได้เฝ้าดูอยู่ไกลบ้างใกล้บ้างก็ดีกว่าไม่ได้เห็นกันเลย เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหนก็จะรักและภักดี ยินดีที่จะทำให้เธอเป็นสุขอะไรประมาณนั้น (น้ำเน่าจัง แต่ก็ดูท่าจะเป็นสุขจริง ๆ กระมัง)
พวกที่เลือกจะไม่ยอมแพ้บางคนให้เหตุผลอย่างคนมองโลกในแง่ดีว่า สักวันหนึ่งคนที่เขารักอาจจะเห็นใจในความดีงามและความจงรักภักดีของเขาก็ แล้วทุกอย่างก็จะแฮปปี้เอนดิ้ง เขาจึงยึดเอายุทธการ “น้ำหยดลงหิน” (ทุกวันหินมันยังกร่อน) ไปเรื่อย ๆ อย่างอดทนและมีความหวัง แต่ Lilith ก็อดสงสัยอยู่ในใจโดยไม่ถามออกมาดังๆ ให้คนพวกนี้เขาเสียกำลังใจว่า “หิน” อาจจะไม่กร่อนก็ได้นะ ถ้าคนเขาไม่รักและทำยังไงก็ไม่รัก ของที่ไม่ใช่ยังไง ๆ ก็ไม่ใช่ แล้วจะทำยังไง ไม่ยิ่งช้ำหนักไปกว่าเดิมหรือ ในที่สุดแล้วคนช่างตื้อเหล่านี้ก็อาจจะต้องมาถามตัวเองอยู่ดีว่าทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร เพราะทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บ
ถ้าอย่างนั้นเลือกรักคนที่เขารักเราดีกว่าหรือเปล่า ที่ตอบได้ทันทีคือคุณคงไม่แฮปปี้กระดี้กระด้านักหรอกและอาจจะไม่สนุกเลยก็ได้ การต้องอยู่ใกล้ ๆ คนที่เราไม่รู้สึกดีด้วยแบบนั้นเป็นเรื่องทารุณไม่ใช่น้อย และคุณก็อาจจะปกปิดความรำคาญและไม่ชื่นชมไว้ไม่อยู่ ต้องมีหลุดออกมาให้คน ๆ นั้นเขารู้สึกได้เป็นระยะ ๆ ด้วยคำพูดและการกระทำของคุณ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่น่ารักโดยธรรมชาติด้วยแล้ว อย่างสาวน้อยที่เจออาการหมาสำรอกอาจมของหนุ่มโหดที่ Lilith เล่าให้ฟังไง ความซวยอย่างมหาศาลก็จะบังเกิดกับคนที่เป็นฝ่ายหลงรักคุณให้ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก ก็ของมันไม่รักไม่ชอบนี่จะทำยังไงได้ หนุ่มโหดคนนั้นเขาก็อาจจะบอกตัวเองอยู่ในใจแบบนี้ก็ได้ คนที่เราไม่รู้สึกดี ๆ ด้วยนี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด เลยต้องด่าระบายความเครียดเสียบ้าง
เอาเป็นว่าในสถานการณ์ “เขารักเรา…เขาไม่รักเรา” แบบนี้ ดูสถานการณ์จะไม่ค่อยน่ารื่นรมย์แต่ออกจะมืดมนนักไม่ว่าจะเลือกทางไหน ไม่คุณถูกทำร้ายโดยคนที่คุณรัก คุณก็เป็นฝ่ายทำร้ายคนที่รักคุณ คุณ ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์สามเส้าแบบนี้ลองหยุดคิดสักนิดดีไหมว่าทำไมเราจึงต้องเลือกระหว่างการรักคนที่รักเรา แต่เขาไม่รักเรา หรือการรักคนที่เขารักเราดีกว่า
เราต้องการอะไรกันแน่?
ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองต้องเลือกคนใดคนหนึ่งเพียงเพื่อจะมีใครบางคนในชีวิต ก็ลองคิดดูให้ดี ๆ นะ ว่ามันคุ้มกัลป์ความเสี่ยงและความเหนื่อยหรือไม่ คุณทำใจได้หรือไม่ว่า ในที่สุดไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็อาจไม่เวิร์คอยู่ดี เพราะตอนจบของเรื่องจริงในชีวิตคุณ อาจไม่เหมือนในหนังที่อะไรดูง่าย ๆ และลงตัว แฮปปี้เอนดิ้งที่คุณอยากเห็นคงต้องอาศัยการทำใจให้แฮปปี้ของคุณอยู่มากเลยทีเดียว
หยุดคิดและทำใจสักนิดว่าจะเลือกทางไหน หรือผ่านไปป้ายหน้าที่สถานการณ์อาจจะน่าวิงเวียนน้อยกว่านี้ แต่ Lilith เชื่อว่าคุณ ๆ คงตัดสินใจไม่ถอย (แบบหมูไม่กลัวน้ำร้อน) และเลือกทางใดทางหนึ่งอย่างที่เล่ามานี้แน่นอน
คนที่ยังเคยเจ็บหนัก ๆ เพราะความรัก มักจะไม่กลัวเป็นธรรมดา ไว้รอให้แก่ ๆ มากกว่านี้กันก่อนเถอะถึงจะเริ่มเข็ด…
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552
Lilith เพิ่งจะดูละครหุ่นกระบอกของญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่เมื่อดูแล้วก็คิดว่าต้องมาเปล่งเสียงเล่าให้คุณ ๆ ทั้งหลายอ่านเสียหน่อย อันที่จริงพล็อตเรื่องและลักษณะของตัวเอกไม่ค่อยจะแตกต่างจากนิทานและวรรณคดีไทยหลาย ๆ เรื่องนัก แต่บังเอิญไม่ค่อยจะได้ดูละคนจักร ๆ วงศ์ ๆ ของไทยนัก ก็เลยต้องหยิบยืมเรื่องราวของญี่ปุ่นมาเป็นตัวนำเรื่องเช่นนี้
รู้จัก Liltih ไหมคะ หลายคนคงจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเช่นนั้นก็มาทำความรู้จักกันก่อนดีไหมคะ
จะว่าไปแล้วทั้ง Eve และ Lilith ต่างก็มีปัญหากันไปคนละอย่าง แต่ผู้หญิงมักจะถูกบีบบังคับโดยไม้แข็งและไม้อ่อนให้เป็น Eve กันแทบทุกคน
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552
คุณคิดว่าตัวเองชอบ ‘นางเอก’ หรือ ‘นางร้าย’ คะ?
บางอาจจะสงสัยว่ามีคนที่ชื่นชมนางร้ายด้วยหรือ เพราะน่าจะมีแต่คนรักนางเอกกันทั้งนั้น แต่สาวน้อยสาวมากหลายคนบอกว่าไม่ค่อยชอบนางเอกกันนักหรอก เพราะการเป็นนางเอกเป็นอะไรที่ทั้งไม่สนุก ทั้งเก็บกด แถมยังมีแนวโน้มจะสวยอย่างจืด ๆ โล้น ๆ (เหมือนฝาบ้านทาสีพาสเทล) ไม่มีรสชาด และไม่ได้แทะโลมพระเอกที่พักนี้พากันหน้าใสไร้เดียงสาอย่างน่าหมั่นไส้
ถ้าดูแนวโน้มจากละครหลังข่าวตามทีวีช่องต่าง ๆ แล้ว นางเอกสวยสู้นางร้ายและนางรองไม่ค่อยได้ ทำให้คนดูสับสนว่าใครกันแน่ที่เป็นนางเอก หรือไม่ก็หลงใหลนางรองนางร้ายไปเลย เลยดูเหมือนว่าเวลานี้จะเป็นช่วงขาลงบรรดาของนางเอกทั้งหลายและนางร้ายกำลังมาแรง
บรรดาคนอินเทรนด์ทั้งหลายที่กรี๊ดงานเขียนประเภทไลฟสไตล์และมุมมองนอกกรอบที่ฮิตกันสุด ๆ ก็คงเห็นการนำเสนอวิถีแบบนางร้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแต่งตัว ความรักความสัมพันธ์ หรือเซ็กส์
แนวประมาณนี้อ่านแล้วโดนใจสาวน้อยสาวมากน่าดูเลยละ เพราะความที่นางร้ายหลายสไตล์พวกนี้ไม่ปฏิเสธความต้องการทางกายและยอมรับในแง่มุมความเป็นมนุษย์ ที่ไม่จำเป็นต้องปกปิด เก็บกดหรือระมัดระวังจนชีวิตไร้ความสนุกสนานและสีสรร
เทรนด์นางร้ายแบบนี้ชนกับแนวนางเอกที่เน้นความเป็นกุลสตรีที่ทุ่มเทกับการทำหน้าที่แบบผู้หญิง ๆ (แฟน กิ๊ก เมีย แม่) และความไร้เดียงสาในเรื่องเพศ บังเอิญว่าพวกกุลสตรีที่ต้องรักนวลเขามีแนวร่วมในภาครัฐอยู่เยอะก็เลยทำให้เสียงดังกว่านางร้าย แต่ไม่ได้หมายความว่ามีคนฟังมากกว่านะ
แม้ว่าเราได้เห็นนางร้ายในละครต้องพ่ายแพ้ไม่ได้อย่างใจในตอนจบหรือต้องประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ นานา หลายคนก็หลงใหลวิถีแบบนางร้ายอยู่ดี
ดูเหมือนนางเอกจะไม่ได้ผูกขาดความน่าสนใจหรือดึงดูดใจ แต่ถูกนางร้ายวิ่งแซงไปไกลทีเดียว นางร้ายออกมายืนเบียดนางเอกอย่างสง่างามในหลายที่ อย่างเช่นเทรนด์เสื้อผ้าหน้าผมที่นำเสนอตามแมกกาซีนก็มีทั้งลุ้คแบบนางร้าย-นางเอก ให้ได้เลือกดูเลือกแต่งกันตามความชอบ โดยนางร้ายไม่ต้องไปแอบซ่อนอยู่ตามหนังสือโป๊ตลาดล่างเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
นางร้ายในจอและนอกจอคนแล้วคนเล่าออกมาปรากฏโฉมหรือเล่าเรื่องราวผ่านหน้าหนังสือและจอทีวี ดึงดูดใจและกลายเป็นแรงบันดาลใจของหลาย ๆ คนในการเลือกหรือการเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างที่นางเอกหลายคนไม่สามารถทำได้
แล้วทำไมแรงดึงดูดของนางเอกจึงลดลงและถูกนางร้ายแซงไปได้เช่นนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าบรรดานางเอกแบบไทย ๆ ที่ดูเหมือนจะมีความหลากหลายในรูปแบบและลีลามากขึ้น ตั้งแต่แนวคิคุไปถึงสาวมั่น-กร้านชีวิต เป็นอะไรที่ไม่ซับซ้อนและถูกจำกัดอยู่โดยกรอบกติกาแบบนางเอกอยู่มาก ทำให้โลกของนางเอกดูแคบ วนเวียนอยู่กับแง่มุมในบ้านและความสัมพันธ์ส่วนตัว
ความที่นางเอกต้องเป็นกุลสตรีที่ดีงาม เลยทำให้ทางเลือกในชีวิตค่อนข้างจะจำกัดหรือคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นางเอกส่วนใหญ่ยอมทิ้งแง่มุมและทางเลือกอื่น ๆ ในชีวิต ยอมทนทุกข์เพื่อจะทำตามสิ่งที่กรอบของหญิงดีบอกว่าถูกต้องดีงาม และต้องเสียสละเพื่อคนอื่นมากกว่าตนเอง
อะไรประมาณนี้ดูจะไปกันไม่ค่อยได้กับวิถีชีวิตที่ซับซ้อนขึ้นของทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ในเวลาที่สาวน้อยสาวมากต่างก็มีแง่มุมอื่น ๆ ในชีวิตที่นอกเหนือไปจากความสัมพันธ์ส่วนตัวและเรื่องในบ้าน มีทางเลือกมากขึ้น มีสตางค์ที่จะทำอะไรต่ออะไรให้ตัวเองมากขึ้น มาตรฐานความเป็นนางเอกกลายเป็นอะไรที่แคบเกินไปและไม่โดนใจคนที่มีโลกนอกบ้านให้ได้สำรวจและค้นหา
สาวน้อยสาวมากทั้งหลายเห็นว่าการแต่งงานและ/หรือการมีลูกเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็นสูงสุดของชีวิต การจะลงฟาดฟันแย่งผู้ชายเป็นเกมหนึ่งในอีกหลาย ๆ เกมที่หลายคนบอกว่ายินดีเล่นแต่พอประมาณ และขอเลือกทำอย่างอื่นในชีวิตบ้างก็ได้ และถ้าจะต่อสู้ในศึกแย่งผัวก็ขอใช้อาวุธทุกรูปแบบมากกว่าจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่แสดงอารมณ์ให้ผู้ชายได้เห็นความดีเอาเองแบบนางเอกทั้งหลาย
ผู้หญิงอีกหลาย ๆ คนอยากจะทำโน้นทำนี่นอกบ้านนอกเหนือไปจากการสละตนเองเป็นทาสของผัวและลูกแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะอย่างนี้นางเอกจึงดูสวยน้อยลง ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์แต่เพราะความเป็นนางเอกกลายเป็นอะไรที่ไม่น่าสนใจเท่าไรนัก
ในขณะที่นางร้ายหลายรูปแบบที่ดูเหมือนโหดและไม่น่ารัก ทำให้เราเห็นว่าผู้หญิงที่รักผู้ชายมาก ๆ และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาเป็นอย่างไร ความร้ายของพวกเธอมาจากความรักนั่นเอง และผู้หญิงตัวเป็น ๆ หลายคนก็อาจจะร้ายได้มากกว่านางร้ายเสียอีกเมื่อต้องสู้เพื่อชายอันเป็นที่รัก
นางร้ายบางคนมีภาพที่ใกล้เคียงกับผู้หญิงหลายกลุ่มในเวลานี้ คือเรียนหนังสือมากขึ้น มีงานมีการทำ และมีโลกนอกบ้าน
จึงไม่น่าประหลาดใจที่นางร้ายดูจะไม่ค่อยโหดหรือร้ายในสายตาของหลาย ๆ คน แต่เป็นวิถีที่ผู้หญิงบางกลุ่มเชื่อมโยงกับตัวได้มากกว่าความเป็นนางเอกเสียอีก
การที่คนรำคาญนางเอกและหลงรักนางร้ายจึงเป็นอะไรที่เข้าใจได้ และคงจะได้เห็นการเพลี่ยงพล้ำเสียทีของนางเอก ในชณะที่นางร้ายเบียดเข้าครองใจพวกเราได้มากขึ้นทุกที
(ดา จันทรา -- Glitz and Glam)
ไอเดียเรื่องครีมนี้มาจากโฆษณาที่เห็นแว็บ ๆ ในทีวีค่ะ เขาบอกว่าใช้ทาหน้าไม่กี่วันสามีจะเปลี่ยนไป จากที่ไม่ใยดีจะกลับมารักใคร่ซู่ซ่าเหมียนเดิม แมซเซจหลักที่ว่าครีมและอะไรอย่างอื่นที่เสริมความงามจะทำให้ผู้หญิงสวยขึ้นและดึงดูดความสนใจของผู้ชายให้มาหลงรัก เป็นอะไรที่เราได้ยินในโฆษณาหลายต่อหลายอย่าง
ครีมอย่างนี้น่าจะเวิร์คถ้าบรรดาสามีและคู่รักแหนงหน่ายไปเพราะคุณเมียสวยน้อยลง จนต้องอาศัยตัวช่วยให้สวยเหมือนเดิมอย่างที่เคยทำให้คุณสามีปิ๊ง หรือถ้าจะให้ดีต้องทำให้สวยขึ้นกว่าเดิมไปอีก
แต่คุณดาอยากจะขอฟันธงว่าครีมและเครื่องสำอางที่โฆษณาว่ามีสรรพคุณว่าเสริมเสน่ห์ช่วยให้หาผัวได้หรือทำให้ผัวหลงนี่อาจจะไม่เวิร์คหรอกนะ แม้ว่าบางอย่างอาจจะทำให้คุณผู้หญิงสวยขึ้นได้จริง ๆ ก็ตาม
ที่ขัดคอหรือดับฝันของคนที่กำลังพึ่งเครื่องสำอางประเภทผัวหลงอย่างนี้ ก็เพราะผู้รู้หรือผู้อาวุโสที่เห็นโลกมามากได้พร่ำบอกพวกเราผ่านหน้ากระดาษแม็กกาซีนหรือหน้าจอทีวีว่า ความรักความสัมพันธ์แบบโรแมนติคที่เราไขว่คว้ากันอยู่นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง รูปร่างหน้าตาก็เป็นอย่างหนึ่งขององค์ประกอบที่ว่านี้ เช่นเดียวกับนิสัยใจคอที่ทำให้คู่รักเป็นคู่คิดและเพื่อนสนิทไปด้วยพร้อมกัน
ที่สำคัญอย่างสุด ๆ ก็คือความใหม่สดที่ทำให้เร้าใจและตื่นเต้น จนมีแรงอึดคุยโทรศัพท์กับคนที่กำลังปิ๊งได้เจ็ดแปดชั่วโมงน็อนสต็อปแบบไม่ต้องกินต้องนอน หรือทำให้ใจจะขาดเมื่อไม่ได้เห็นหน้าหรือไม่ได้ยินเสียง แบบที่คนมีความรักหลายคนเขายอมบุกป่าฝ่าดง ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากันได้อย่างไม่ย่อท้อเหมือนที่เราเห็นในหนังรักละครโรแมนติคหลายต่อหลายเรื่อง (นึกถึงเรื่อง Cold Mountain นะ)
แต่อะไร ๆ ในโลกนี้มันคงความใหม่ตลอดไปไม่ได้เสียด้วย ไม่ว่าจะพยายามทะนุถนอมขนาดไหน วันหนึ่งของใหม่และคนใหม่ ๆ ก็กลายสภาพเป็นอะไรที่เราคุ้นเคย จนไม่มีความตื่นเต้นหลงเหลืออยู่อีกต่อไปหรืออาจจะหนักหนาถึงขั้นเบื่อหน่ายไปเลย
ดูเหมือนว่าการหมดความตื่นเต้นต่างหากที่ทำให้คู่รักและสามีภรรยามากมายเลือกที่จะต่างคนต่างไป ยิ่งในเวลาที่ฝ่ายผู้หญิงดูแลตัวเองได้แบบไม่ต้องพึ่งคนอื่นให้หาเลี้ยง การโบกมือบ๊ายบายความสัมพันธ์ที่ไม่เวิร์คไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรือถูกจำกัดด้วยความอยู่รอดเหมือนกับที่เคยเป็นมาอีกต่อไป
คู่ที่ยังอยู่กันได้อย่างเป็นสุขพอควรก็มักจะต้องแทนที่ความรักแบบวูบวาบด้วยอะไรอย่างอื่น เช่นความเป็นเพื่อนคู่คิดหรือหุ้นส่วนชีวิตที่ต้องอาศัยความเข้าใจและเอื้ออาทรอย่างเต็มที่ หรือบางคู่อยู่กันยืดเพราะเหตุผลทางสังคมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการอยู่เพื่อลูก ไม่อยากให้ลูกเจอกับสภาพครอบครัวแตกแยก อาการทนอยู่กับคู่ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นี้ทำให้เกิดสภาพที่การแต่งงานยังอยู่แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไปมีความรักใหม่ ๆ อีกหลายชุดกับคนอื่นนอกการแต่งงานนั้น
บังเอิญว่ากรอบกติกาหลักของสังคมบอกว่าการไปมีคู่ซ้อนหรือมีกิ๊กเป็นอะไรที่ไม่ดีอย่างสุด ๆ แต่โอเคกับการไปหาเศษหาเลยนอกการแต่งงานของผู้ชาย สภาพอย่างนี้ที่ทำให้คุณภรรยาทั้งหลายต้องหน้าชื่นอกตรมเมื่อรักจืดจางเมื่อเผชิญกับอาการแหนงหน่ายของสามี บางรายหันไปพึ่งครีมผัวหลงกันเป็นการใหญ่ เพราะคิดว่าผัวไม่สนใจเนื่องมาจากตัวเองสวยน้อยลงหรือแก่ขึ้นกว่าเมื่อเริ่มปิ๊งกันใหม่ ๆ
ความเข้าใจประมาณนี้ทำให้เมีย (หลวง) หลายคนพยายามจะเสริมความงามทั้งหน้าตาและร่างกายกันอย่างสุด ๆ เพื่อให้สามีกลับมารักเหมือนเดิม
เมียบางคนลงทุนสาดน้ำกรดเมียน้อยหรือกิ๊กของสามี เพราะเชื่อว่าเมื่อเมียน้อยหน้าตาอัปลักษณ์เพราะฤทธิ์น้ำกรดแล้ว ผัวก็จะไม่รักไม่สนใจและทิ้งเมียน้อยเพื่อกลับมาตายรังในที่สุด ความเชื่อแบบนี้ทำให้เกิดเรื่องเศร้าเพราะคุณผัวอาจจะทิ้งเมียน้อยหลังจากเมียหลวงตามราวีขนาดนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะกลับมารักเมียหลวงเหมือนที่เคยเป็น ดีไม่ดีจะพาลเตลิดเปิดเปิงไปสร้างสัมพันธ์รักใหม่ ๆ ต่อไปอีก
ที่ว่ามายืดยาวนี้ก็เพื่อจะชวนให้ตั้งคำถามว่าที่ความรักจืดจางนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเพราะความใหม่และตื่นเต้นซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสำคัญได้หมดไป และถูกแทนที่ด้วยความคุ้นเคยที่บางที่แยกแทบไม่ออกจากความซ้ำซากจำเจ โดยไม่ได้มีการพัฒนาความเป็นเพื่อนร่วมชีวิตเข้ามาทดแทน ครีมประเภทไหน ๆ ก็คงจะทำให้ผัวกลับมาหลงได้ยาก
แต่ถ้าไปหาหรือเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ก็ไม่แน่ อาจจะมีความหวังอยู่บ้างและได้หนุกหนานกว่าการพยายามอยู่ในความสัมพันธ์ที่ตายแล้วเป็นไหน ๆ และไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแก่เกินไปหรือสวยน้อยไปเพราะผัวหรือแฟนคนปัจจุบันมองไม่เห็นความงามและคุณค่า
เพราะผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมีคุณสมบัติแบบกระดังงากลีบหนาหอมแรงที่ทำให้หนุ่มน้อยหลงใหลได้ไม่แพ้สาวน้อยหน้าใสทั้งหลาย เรื่องแก่ไม่แก่อาจจะไม่สำคัญเท่าความตื่นเต้นและรสชาติแปลกใหม่
คุณดาไม่ได้บอกให้ใครเลิกหรือทนกับความสัมพันธ์ที่หยุดนิ่งหมดความตื่นเต้นที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสำคัญ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการอะไรในชีวิตต่างหาก
บางทีความคาดหวังเกี่ยวกับชีวิตคู่และการอยู่ร่วมกันของเราเป็นไปได้ยาก ฐานของความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการเห็นกันและกันที่หน้าตา กระตุ้นเร้าด้วยความตื่นเต้นแปลกใหม่ ไม่ค่อยเอื้อต่อการอยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่องยาวนานแบบถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรได้ แต่จะเวิร์คถ้ามีการเริ่มความสัมพันธ์ใหม่เป็นระยะเพื่อจะถูกหล่อเลี้ยงด้วยความสดใหม่และความตื่นเต้นในความใหม่เสียมากกว่า
พูดอย่างนี้คุณดาอาจจะพลอยโดนด่าจากนักจัดระเบียบสังคมไปได้ แต่ลองคิดดูกันเองนะว่าไอ้ที่คาดหวังจากชีวิตคู่และความสัมพันธ์มันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน แล้วคราวหน้าจะชวนให้คิดต่อนะ
(ดา จันทรา -- Glitz and Glam)
แข่งสวย
สมาชิกวงเม้าท์ของสาวเก๋วงหนึ่งผลัดกันเล่าถึงชายหนุ่มที่เข้ามาในชีวิตอย่างเมามัน เล่ากันไปมาได้พักหนึ่งก็เกิดอาการอึ้งกันไปเพราะเรื่องของทุกคนเหมือน ๆ กันอย่างไม่น่าเชื่อ ความเหมือนที่ว่าก็คือหนุ่มที่โฉบเข้ามาในชีวิตของพวกเธอต่างก็มีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วทั้งสิ้น และพวกเธอก็เล่นด้วยกับชายที่มีพันธะเหล่านี้เสียด้วย
สาวเก๋วงนี้เธอไม่ธรรมดานะคะ คือนอกจากจะดูดีแล้ว ยังเป็นผู้หญิงเก่ง อายุไม่มากไม่น้อย ตำแหน่งหน้าที่การงานดี รายได้สูง แบบว่าเป็นเครื่องบินเจ็ตให้ผู้ชายหลายคนได้เพียงแหงนหน้ามอง ผู้หญิงสวย+เก่งประเภทนี้ห่างไกลจากโพรไฟว์ของเมียน้อยที่หลายคนยึดถือ แต่กลับยินดีไปมีอะไรต่ออะไรกับชายไม่โสดได้อย่างไร?
หลายคนเชื่อว่าคุณสมบัติของเมียน้อย คือความเอ๊าะ ขาว อึ๋ม เร้าตัณหาผู้ชายสมรรถภาพน้อยทั้งหลาย ว่ากันว่าบรรดาเมียน้อยและว่าที่เมียน้อยมักจะเรียนหนังสือน้อย ฐานะไม่ดี ทำงานที่ไม่มีทางก้าวหน้า ก็เลยอยากรวยทางลัด และพร้อมจะเกี่ยวข้องกับผู้ชายที่จะทำให้พวกเธอได้เลื่อนฐานะอย่างไม่สนใจว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นสามีของใครหรือไม่ เรียกได้ว่ามีอาการความเป็น ‘น้องแรด’ เต็มตัว
แล้วทำไมสามีของชาวบ้านถึงได้มาหมายตาสาวเก๋เหล่านี้แทนที่จะไปหาบรรดาน้องแรดที่น่าจะสานสัมพันธ์ได้ง่ายกว่า ที่ยุ่งไปกว่านั้นก็คือสาวเก๋จำนวนไม่น้อยยินดีเล่นด้วยกับผัวของคนอื่น ทั้งที่พวกเธอน่าจะหาแฟนที่ดีกว่านี้ได้มาก
อะไรที่มันดูผิดฝาผิดตัวอย่างนี้ทำให้คนที่ได้รับรู้มึนไปตาม ๆ กัน แล้วก็เลยสรุปง่าย ๆ ว่าสาวเก๋เหล่านี้สิ้นคิดหรือคิดไม่เป็นทั้งที่เรียนหนังสือหนังหาไม่น้อย หน้าที่การงานก็ดี และมีทางไปจนไม่น่าจะเลือกกินน้ำใต้ศอกของหญิงอื่น
การที่สาวเก๋จำนวนไม่น้อยสมยอมสานสัมพันธ์ซ้อนกับผู้ชายที่มีเมียแล้ว ทำให้ภาพของเมียน้อยและว่าที่เมียน้อยเปลี่ยนไปมากทีเดียว
พวกเธอบอกว่าความสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ต้องเคลื่อนที่เร็ว หรือเส้นทางการทำงานที่ทำให้การใช้เวลากับคู่รักในความสัมพันธ์ที่จริงจังหรือการแต่งงานเป็นไปได้ยาก ทั้งที่อยากมีอะไรกุ๊กกิ๊กแต่พวกเธอก็ไม่อยากจะรับมือกับความยุ่งยากของการมีความสัมพันธ์
แม้ว่าสาวเก๋หลายคนต้องการจะแต่งงานและมีชีวิตตามแบบแผนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม สาวเก๋อีกหลาย ๆ คนมองรูปแบบชีวิตเช่นนี้เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่เธออาจจะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ หรือเธออาจจะอยากใช้เวลาในชิวิตทำอะไรอย่างอื่นก่อน การมองแบบนี้ทำให้เรื่องที่หลายคนมองว่าสำคัญและไขว่คว้ากลายเป็นปัญหาหรือส่วนเกินของชีวิตสาวเก๋ได้
การคบหากับผู้ชายตัวเปล่าอาจจะไม่เป็นจริงเป็นจังในตอนแรก แล้วก็มักจะเปลี่ยนความคาดหวังเมื่อคบกันไปได้ระยะหนึ่ง เพราะแพทเทิร์นหรือขั้นตอนของชีวิตที่กำหนดว่าจุดหมายปลายทางของความสัมพันธ์ที่เวิร์คคือการแต่งงานหรือการเลื่อนชั้นความสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น เช่นการย้ายมาอยู่ร่วมบ้านร่วมคอนโด
การเลื่อนขั้นความสัมพันธ์แบบนี้ทำให้คนรอบข้างเริ่มกดดันให้แต่งงานกันเสียที หรือไม่ก็คาดหวังให้ปฏิบัติต่อกันเหมือนคนที่แต่งงานกันแล้ว ทำให้อะไร ๆ มันยุ่งยากไม่หนุกหนานเหมือนตอนเริ่มปิ๊งกันใหม่ ๆ
ความสัมพันธ์ที่เป็นเรื่องเป็นราว ลงหลักปักฐานแบบนี้ทำให้อะไรที่เวิร์คกลายเป็นไม่เวิร์คไปได้สำหรับสาวเก๋หลายคนที่ต้องการความเป็นอิสระและความคล่องตัวในชีวิต
โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม บรรดาสาวเก๋สบายอกสบายใจที่จะสัมพันธ์กับชายที่มีพันธะแล้วมากกว่า เพราะความที่พวกเขาแต่งงานแล้วทำให้ความคาดหวังและการใช้เวลาจำกัด และมักจะไม่เรียกร้องจากสาวเก๋มากนัก เพราะถ้าไปใช้เวลานัวเนียกับสาวเก๋มากเกินไปก็อาจถูกคุณเมียหลวงที่บ้านฆ่าเอาได้
และความที่มีเมียเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วก็เลยทำให้การเลื่อนขั้นความสัมพันธ์เป็นไปไม่ได้หรือไม่ก็ยากมั่ก ๆ และไม่ยืดยาวเพราะผู้ชายที่มีเมียแล้วมักจะขาดแคลนความกล้าหาญที่จะเดินออกจากความสัมพันธ์เดิมหรือการแต่งงาน พออะไร ๆ มันเริ่มยุ่งจนไม่คุ้มกับความสนุกตื่นเต้นของการมีกิ๊กเป็นสาวเก๋ ผู้ชายตัวไม่เปล่าพวกนี้ก็มักจะฉิ้งไปด้วยวิธีการต่าง ๆ แล้วแต่สไตล์และกึ๋นของแต่ละคน
อะไรประมาณนี้ที่ไม่เวิร์คสำหรับผู้หญิงอื่น กลายเป็นเวิร์คสุด ๆ สำหรับสาวเก๋ที่มองความสัมพันธ์เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องหลักของชีวิต
การมีอาชีพการงานดี ดูแลตัวเองได้ทำให้สาวเก๋หลายคนไม่เป็นภาระสำหรับชายไม่โสด และไม่เรียกร้องอะไรมาก แบบนี้ก็เลยทำให้สาวโสดยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้นจนแซงหน้าน้องแรดไปได้
ถ้าอะไร ๆ ดูดีราวกับผีเจอโลงเช่นนี้ แล้วทำไมรักซ้อนของสาวเก๋กับหนุ่มไม่โสดบางคู่จึงกลายเป็นเรื่องเป็นราวให้บาดหมางและช้ำใจไปได้
ก็เพราะการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนความต้องการที่ทำให้ความสัมพันธ์ซ้อนนี้ไม่สนองความคาดหวังใหม่นะซิ เช่นสาวเก๋อยากทำให้ความสัมพันธ์ชั่วคราวนี้กลายเป็นเรื่องจริงจังมากขึ้น จนกลายพันธุ์กลายเป็นน้องแรดที่เรียกร้องหรือไม่ก็กรี๊ดไม่เลิกเพื่อจะให้ได้ชายไม่โสดมาเป็นของตนจนไม่น่ารักอย่างที่เคยเป็น
ถ้าความต้องการไม่เปลี่ยน ความสัมพันธ์กับชายไม่โสดก็ตอบสนองอะไรต่ออะไรให้สาวเก๋ได้อย่างที่คนไม่เก๋เข้าใจไม่ได้เลยทีเดียว